ขุมทรัพย์ในกรมธรรม์
ถ้าได้ซื้อกรมธรรม์สะสมทรัพย์ไว้ก่อนปีพศ.2545 ไม่ว่าแบบใด จากบริษัทใหน?
หมวดว่าด้วยเงินคืน ถ้ากรมธรรม์มีเงินคืนตามเงื่อนไขของกรมธรรม์เป็นระยะๆ เช่น คืนทุก 3 ปี หรือทุก5 ปี เขามักจะมีข้อความทำนองว่า “เงินจ่ายคืนรายงวดตามกรมธรรม์แบบสะสม” ซึ่งมีรายละเอียดว่า ท่านสามารถคงเงินนี้ไว้กับบริษัทเพื่อสะสม โดยได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี จนกว่าผู้เอาประกันจะเสียชีวิตหรือกรมธรรม์ครบสัญญา เท่ากับว่า เงินคืนรายงวดนี้ สามารถฝากไว้กับบริษัทประกันแบบบัญชีออมทรัพย์ สามารถถอนได้ตลอดเวลา โดยได้ดอกเบี้ยสูงถึง 6% คิดเป็น 5-6 เท่าของดอกเบี้ยออมทรัพย์ (ปี 2013 = 0.75-1%)
หมวดที่ว่าด้วยเงินครบสัญญา จะมีข้อความ “การจ่ายเงินตามกรมธรรม์ประกันภัย” หากเจ้าของกรมธรรม์ไม่ประสงค์จะรับเงินได้ตามกรมธรรม์เมื่อกรมธรรม์ครบสัญญา หรือผู้เอาประกันเสียชีวิต เจ้าของกรมธรรม์อาจตกลงกับบริษัทให้จ่ายเงิน โดยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
1. จ่ายดอกเบี้ยซึ่งเกิดจากเงินที่ได้ โดยคิดดอกเบี้ยให้ในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี
2. จ่าย เป็นรายงวดในจำนวนที่กำหนดได้ งวดละเท่าๆกัน เป็นรายปี หกเดือน สามเดือน หรือรายเดือน ตามจำนวนที่เลือกได้ โดยบริษัทคิดดอกเบี้ยให้เงินส่วนที่เหลือในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี
3. จ่าย เป็นรายงวดภายในระยะเวลาที่กำหนด บริษัทจะจ่ายเงินที่ได้เป็นงวด งวดละเท่าๆกัน เป็นรายปี หกเดือน สามเดือน หรือรายเดือน เป็นเวลาไม่เกิน 20 ปี โดยคำนวณดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 6 ต่อปี ผู้รับเงินตามกรมธรรม์อาจถอนเงินส่วนที่เหลืออยู่ได้ทุกเวลา
4. จ่ายเงิน เป็นรายได้ตลอดชีพ บริษัทจะจ่ายเงินที่ได้ให้เป็นงวด งวดละเท่าๆกัน เป็นรายปี หกเดือน สามเดือน หรือรายเดือน ตลอดอายุของผู้รับเงิน จำนวนเงินแต่ละงวดจะขึ้นกับอายุ เพศ ที่ได้กำหนดไว้ให้ในตาราง
ถ้าคุณพบข้อความทำนองนี้ ( หรือกรมธรรม์ที่ออกในช่วงปลายปี 2545-2546 บางกรมธรรม์ บางบริษัทอาจจะลดลงมาเป็น 5% บ้าง 4% บ้าง) คุณโชคดีที่ได้รับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยปัจจุบันมาก แถมยังไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ย เพราะประมวลรัษฎากร กำหนดให้เงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้จากจากกรมธรรม์ประกันชีวิต ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เท่ากับว่าคุณมีขุมทรัพย์ไว้ในมือ จะมากน้อยขึ้นกับวงเงินที่ทำไว้
เวลามีเงินคืนตามกรมธรรม์ หรือเงินครบสัญญา คุณสามารถแจ้งความประสงค์ ขอฝากเงินนี้ไว้กับบริษัทประกัน มันจะมีคุณสมบัติเหมือนบัญชีออมทรัพย์ คือถอนได้ตลอดเวลา แต่ได้ดอกเบี้ยถึง 6 % ในขณะที่ปัจจุบัน หากนำเงินก้อนนี้ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล จะได้ดอกเบี้ยเพียง 3.5% ไม่มีสภาพคล่องแถมยังต้องเสียดอกเบี้ยด้วย หรือหากนำไปฝากธนาคารก็จะได้ดอกเบี้ยเพียง 1-3% เท่านั้น และยังมีโอกาสที่ดอกเบี้ยจะลดลงได้ในอนาคต
สิทธิ์นี้จะคงอยู่ไปจนกว่าผู้เอาประกันภัยจะเสียชีวิต หรือหากเราใช้สิทธิ์นี้ในเงื่อนไขที่ผู้เอาประกันเสียชีวิต แล้วผู้รับประโยชน์ขอฝากเงินสินไหมที่ได้ไว้ ก็สามารถคงสิทธิ์นี้ไปจนสิ้นอายุขัยของผู้รับประโยชน์ เรียกว่า ได้ประโยชน์จากขุมทรัพย์นี้ 1 ชั่วอายุคน
สิ่งที่ทำให้บริษัทประกันชีวิตใส่เงื่อนไขนี้ผูกมัดตนเองไว้ เนื่องจากเดิมทีอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ( 10 ปีขึ้นไป) ไม่เคยให้ต่ำกว่า 8 % บริษัทต่างๆจึงขอทำตัวเป็นเสือนอนกิน บริการรับฝากเงินคืนหรือเงินครบสัญญาจากลูกค้า โดยสัญญาที่จะจ่ายดอกเบี้ยให้ 6% ขณะที่ตนเองจะนำเงินนี้ไปซื้อพันธบัตรรับดอกเบี้ย 8-10% โดยไม่ต้องเหนื่อยยาก หรือ เสี่ยง และมันก็เป็นเช่นนี้มา 40-50 ปีนับตั้งแต่มีธุรกิจประกันชีวิตมา
ประเทศไทยประสบวิกฤติเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปี พศ.2540 ธุรกิจล้มละลายจำนวนมาก หลังเศรษฐกิจฟื้นตัว เจ้าของธุรกิจหรือนักลงทุนเริ่มระมัดระวังในการลงทุน กู้เงินมาลงทุนเท่าที่จำเป็น ลดการเก็งกำไรลง ให้มีเงินฝากล้นธนาคาร ธนาคารปล่อยสินเชื่อได้น้อยกว่าที่รับฝากมา ทำให้ดอกเบี้ยลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามหลักการของ demand – supply ตลาดเงิน
ผลตอบแทนพันธบัตรก็ลดลงตามไปด้วย จนลดต่ำกว่า 6% ในช่วงปี พศ.2546 ทำให้ทุกบริษัททยอยยกเลิกเงื่อนไขนี้ในกรมธรรม์ที่ออกขายใหม่ และล่าสุด( 26 มค.2555) พันธบัตร 10 ปีให้ดอกเบี้ยเพียง 3.21% พันธบัตร 15 ปีให้ดอกเบี้ย 3.53% พันธบัตร 20 ปีให้ดอกเบี้ย 3.61% และพันธบัตร 50 ปีให้ดอกเบี้ย 4.24% อย่างนี้ต้องเรียกว่าเป็นทุกขลาภของบริษัทประกันชีวิต เป็นพันธนาการที่เกิดขึ้นแบบคาดไม่ถึง
แต่ไม่ต้องไปกังวลกับความมั่นคง หรือความสามารถในการหาดอกผลมาจ่ายดอกเบี้ยให้คุณ เพราะมาถึงทุกวันนี้ กรมธรรม์ที่ออกใหม่ยกเลิกเงื่อนไขเหล่านี้หมดแล้ว หรือหากมี ก็รับประกันดอกเบี้ยให้เพียง 2% บ้าง 4% บ้าง ส่วนกรมธรรม์ที่ได้สิทธิ์พิเศษตามที่กล่าวมาข้างต้น ก็คงมีจำนวนไม่ถึง 10%ของเงินที่อยู่ในระบบประกันชีวิตทั้งหมด เนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตเติบโตอย่างก้าวกระโดดทุกปี จนไม่มีผลต่อการจัดสรรผลตอบแทนให้ผู้ถือกรมธรรม์รุ่นเก่าๆ
คนที่ได้ซื้อกรมธรรม์สะสมทรัพย์ในช่วงเวลานั้น เสมือนมีขุมทรัพย์ย่อยๆที่ซ่อนไว้ใกล้ตัว แต่ถ้าไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่ใช้สิทธิ์ ก็เท่ากับเสียเปล่า