ครบสัญญาประกันชีวิตผลตอบแทนไม่ตรงกับกรมธรรม์
ประกันชีวิต ครบสัญญา ได้รับผลตอบแทนไม่ตรงตามที่ระบุในใบสรุปกรมธรรม์ที่ตัวแทนนำมาเสนอขาย
มีผู้ใช้งาน pantip ได้โพสท์ถามเรื่อง กรณีได้เงินตอนครบสัญญาประกันชีวิต ไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่ง หาข้อมูลพบว่าเคยมีการฟ้องร้องและศาลได้ตัดสินให้ผู้เอาประกันเป็นผู้ชนะคดีใน เขาสงสัยว่า กรณีแบบนี้เราสามารถอ้างอิงผลคำตัดสินของศาลได้หรือไม่ และถามถึงหากจะร้องเรียนไปที่ คปภ. ก่อนจะเป็นอย่างไร (28/9/2557) หรือ ควรร้องไปที่ สคบ. หรือ ฟ้องต่อศาลได้เลย
คดี คำตัดสินของศาลจากคดีคุณทรงกฤช ฟ้อง AIA
เมื่อ 21 ปีที่แล้ว วันที่ 4 สิงหาคม 2532 ตัวแทนขายประกันชีวิตของ บริษัท AIA เสนอขายประกันชีวิตให้กับ ข้าพเจ้า เป็นการประกันชีวิต แบบสะสมทรัพย์ 21 TMAE วงเงินประกันชีวิต 300,000.- บาท
ชำระเบี้ยประกันชีวิต รายปี 20,301 บาท ระยะเวลา 21 ปี รวม 426,321 บาท ซึ่งมากกว่า วงเงินประกันชีวิตถึง 126,321 บาท ( 426,321 – 300,000 = 126,321 บาท )
โดยตัวแทนขายประกันชีวิตของ บริษัท AIA นำแผ่นพับ แบบสะสมทรัพย์ 21 TMAE ขนาด กระดาษ A4 มีลักษณะเป็นแผ่นพับสี 3 ตอน ติดต่อกัน รวม 6 หน้า มาประกอบการเสนอขายประกันชีวิต
เมื่อกรมธรรม์ประกันชีวิตครบกำหนดสัญญา 21 ปี ได้รับเงินครบกำหนดสัญญา น้อยกว่าที่ตัวแทนขายประกันชีวิตของบริษัท AIA มาเสนอขายประกันชีวิต ตามแผ่นพับ แบบสะสมทรัพย์ 21 TMAE ที่ข้าพเจ้า ใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องศาล เป็นคดีนี้
ทันทีที่ปัญหานี้เกิดขึ้นกับ ข้าพเจ้าๆ บอกกับลูกสาวว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพ่อครั้งนี้ คงจะไม่ได้เกิดขึ้นกับพ่อเพียงคนเดียว แต่ปัญหานี้ คงจะเกิดขึ้นกับประชาชน ที่ถูกเสนอขายประกันชีวิต เช่นเดียวกันกับพ่อทั่วประเทศ
ปัญหานี้ จึงถือได้ว่า เป็นวิกฤต ทางการเงินของประชาชนเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เป็นปัญหาระดับประเทศ เพราะ เป็นเรื่องที่กระทบถึงเงินออม เพื่อความมั่นคงในชีวิตของประชาชน ในเมื่อ พ่อ เป็นคนแรกที่รู้ถึงปัญหานี้ และ มองเห็นผลของความร้ายแรงของปัญหานี้ ก่อนคนอื่น พ่อจะต้องยอมเหนื่อยยากทุกอย่าง เพื่อหาข้อยุติของปัญหานี้ ในแนวทางที่ถูกต้องยุติธรรมให้ได้ ด้วยจิต และวิญญาณ ของความเป็นคนไทย ที่จะต้องลุกขึ้นมา ปกป้อง ความเป็นธรรมให้กับคนไทย บรรพบุรุษของไทยเรานั้น ยอมพลีชีพของตนเอง มาแล้วทุกยุคทุกสมัย เพื่อรักษาประเทศชาติ และปกป้องคนไทย เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข พ่อ จึงต้องเป็นคนหาข้อยุติของปัญหานี้ ในทางกฎหมาย เพื่อจะได้เป็นบรรทัดฐานในกรณี ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
ครั้งแรก คิดที่จะฟ้อง ตัวแทนขายประกันชีวิตของ บริษัท AIA เป็นจำเลย ร่วมกับ บริษัท AIA
เพราะ เรื่องของการขายประกันชีวิต ให้กับ นั้น มี ผู้ที่รู้เรื่องนี้ และ เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อยู่ 3 คน คือ
บริษัท AIA / ตัวแทนขายประกันชีวิต / ตัวเอง
ในเมื่อ บริษัท AIA ปฏิเสธ การจ่ายเงินครบกำหนดสัญญา ให้ครบตามที่ ตัวแทนขายประกันชีวิตของ บริษัท AIA มาเสนอขายประกันชีวิตให้กับข้าพเจ้า เรื่องนี้ ต้องมีคนรับผิดชอบ
แต่เมื่อคิดว่า การฟ้อง บริษัท AIA เป็นการฟ้อง กรณีที่สัญญาประกันชีวิตครบกำหนดสัญญา แล้วข้าพเจ้า ได้รับเงินไม่ครบตามที่ตัวแทนขายประกันชีวิต มาเสนอขายประกันชีวิตให้กับข้าพเจ้า ตามแผ่นพับ แบบสะสมทรัพย์ 21 TMAE
จึง เห็นว่า เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่าง จึงควรที่จะฟ้อง บริษัท AIA เป็นจำเลย เพียงคนเดียว ตามหลักฐานที่มีอยู่ คือ แผ่นพับ แบบสะสมทรัพย์ 21 TMAE และ ที่ไม่ฟ้องตัวแทนขายประกันชีวิตเป็น จำเลย ร่วมด้วย และ จะไม่เรียกตัวแทนขายประกันชีวิต มาเบิกความเป็นพยาน ฝ่ายโจทก์ด้วยนั้นก็เพราะต้องการสร้างมาตรฐานต่ำที่สุดในทางพยานหลักฐาน เพื่อจะดูว่า ผลของคำพิพากษา จะออกมาอย่างไร ถ้าผลของคำพิพากษา ออกมา ให้ข้าพเจ้า เป็นฝ่ายชนะคดี ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะสามารถเดินตามคดีของข้าพเจ้า ได้ง่ายขึ้น
เพราะ เป็นที่รู้กันดีว่า ตัวแทนขายประกันชีวิตนั้น น้อยคนนัก ที่จะอยู่ในอาชีพนี้ได้ยาวนาน และ การหาที่อยู่ของตัวแทนขายประกันชีวิต หรือ การหาตัว ของตัวแทนขายประกันชีวิต หลังจากที่ระยะเวลาผ่านมา 20 กว่าปี แล้วนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย หรือ บางคนก็อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว จึงต้องการต่อสู้คดี ด้วยมาตรฐานที่ต่ำที่สุด เพื่อประชาชนจะได้เดินตามได้ง่ายขึ้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นฝ่ายชนะคดี
แต่พอสืบพยานกันจริงๆ บริษัท AIA ขอออกหมายเรียก ตัวแทนขายประกันชีวิตที่ขายประกันชีวิตให้กับ ข้าพเจ้า มาเบิกความ เป็นพยานฝ่ายจำเลย
เมื่อถึงวันนัด ไม่มีตัวแทนมาเบิกความ ทนายของ บริษัท AIA แถลงศาลว่า ยังหาตัวแทนไม่พบ ขอเลื่อนคดี ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดี และ พูดว่าต้องการรู้ความจริงในเรื่องนี้
นัดต่อมา เพื่อให้ความจริงกระจ่างจึงไปตามหาตัวแทนขายประกันชีวิต ที่มาขายประกันชีวิตให้กับข้าพเจ้า ถึงที่ทำงานของตัวแทน ด้วยตนเอง
ซึ่งข้าพเจ้า จำได้ว่า เมื่อ 21 ปี ก่อน ขณะนั้นตัวแทน ทำงานอยู่ที่ รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง จนได้พบตัวแทน และขอให้มาเบิกความเป็นพยานจำเลย ตามหมายเรียกพยานบุคคล ที่ทนายของ บริษัท AIA จำเลย ขอออกหมายเรียกพยานไว้ ซึ่งตัวแทน ก็มาเบิกความ ตามวันที่ ข้าพเจ้า แจ้งให้ทราบ จนการสืบพยานจำเลย เสร็จสิ้น
เท่ากับว่า คดีของข้าพเจ้านั้น การสืบพยาน มีข้าพเจ้า ซึ่งเป็นโจทก์ บริษัท AIA จำเลย และ ตัวแทนขายประกันชีวิตที่มาขายประกันชีวิตให้กับข้าพเจ้า มาเบิกความ ครบทั้ง 3 คน ที่รู้เรื่องนี้
จึงถือได้ว่าคดีของข้าพเจ้า ที่ฟ้องบริษัท AIA นั้น จากความตั้งใจเดิม ที่จะสร้างมาตรฐานต่ำที่สุด ในการต่อสู้คดี กลับกลายเป็นมาตรฐานที่สูง ไปโดยปริยาย โดยที่ข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจไว้แต่แรก
ประชาชน ที่ต้องการจะเรียกร้องความเป็นธรรม โดยการฟ้องศาล จึงควรที่จะรู้เรื่องนี้ไว้ จะได้เป็นประโยชน์ ในการตัดสินใจฟ้องคดี
ข้าพเจ้า ฟ้อง บริษัท A I A เป็นจำเลย ที่ศาลแขวงพระนครใต้ เป็นคดีผู้บริโภค คดีหมายเลขดำที่ ผบ. 2592 / 2553 เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553
ทุนทรัพย์ในการฟ้องคดีนั้น ข้าพเจ้า ฟ้องเรียกเงินครบกำหนดสัญญาส่วนที่ขาด
– เป็นเงินจำนวน 36,000.- บาท
– พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ทวงถามจนถึงวันฟ้อง คิดเป็นเงิน 214.52 บาท
– ค่าคัดหนังสือรับรอง และค่าถ่ายเอกสาร รวม 480.- บาท
– ค่าเดินทางไปดำเนินคดีกับค่าเสียเวลา และ โอกาสในการประกอบอาชีพของโจทก์ วันละ 600 บาท ประมาณ 7 วัน คิดเป็นเงิน 4,200.- บาท
รวม 40,894.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 40,680.- บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลย จะชำระเสร็จสิ้น
ที่ข้าพเจ้า ไม่ได้เรียกร้องค่าทนายความ ก็เพราะคดีนี้ ข้าพเจ้าต่อสู่คดีด้วยตนเอง ถ้าประชาชนจ้างทนายความต่อสู้คดีให้ ก็สามารถเรียกร้องค่าทนายความได้ด้วย
บริษัท AIA จำเลย ให้การต่อสู้คดีว่า
“แผ่นพับในการเสนอขายประกันชีวิตแก่โจทก์นั้น เอกสารดังกล่าว ไม่ใช่เอกสารของจำเลย อีกทั้ง เอกสารดังกล่าว ก็ไม่มีลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่ของบริษัทจำเลย หรือ ผู้มีอำนาจกระทำการแทนบริษัทจำเลย ลงลายมือชื่อรับรองเอกสารดังกล่าวไว้ ”
“ทางจำเลย ได้ดำเนินการจ่ายเงินผลประโยชน์ให้แก่โจทก์ ครบถ้วนและถูกต้องตามสัญญาทุกประการแล้ว ”
ในส่วนของการต่อสู้คดี และ การสืบพยานนั้น มีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก จึงไม่ขอกล่าวถึงในขณะนี้
คดีนี้ ศาลแขวงพระนครใต้ มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2554 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ผบ. 2728 / 2554 คำพิพากษา คดีนี้ มีจำนวนถึง 23 หน้า
จึงมีรายละเอียด ตามคำพิพากษาของศาล เป็นจำนวนมาก ไม่สามารถที่จะนำรายละเอียด ตามคำพิพากษา มาเผยแพร่ได้ทั้งหมด รวมทั้งสรุปเหตุผลตามคำพิพากษาด้วย เพราะถ้าประชาชน ไม่รู้รายละเอียดตามคำพิพากษาทั้งหมด แล้ว ข้าพเจ้า นำแต่สรุป เหตุผล ตามคำพิพากษามาเผยแพร่ให้ ประชาชนทราบ ประชาชนก็อาจจะตีความกันไปเอง ตามแต่จะคิด ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน
ตอนท้ายของคำพิพากษาของศาล
ศาล พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 40,894.52 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 40,680 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
เมื่อเปรียบเทียบ จำนวนเงินที่ข้าพเจ้า เป็นโจทก์ ฟ้อง บริษัท AIA จำเลย กับคำพิพากษาของศาลแล้ว ศาลพิพากษาให้ บริษัท AIA จำเลย ชำระเงินให้ ข้าพเจ้า ซึ่งเป็น โจทก์ เต็มตามฟ้อง
AIA ยื่นอุทธรณ์ คำพิพากษาของศาลแขวงพระนครใต้ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 และ ศาล ได้นำ อุทธรณ์ ของ บริษัท AIA จำเลย มาส่งให้กับข้าพเจ้า ในวันที่ 21 มีนาคม 2555 อุทธรณ์ ของ บริษัท AIA จำเลย มีทั้งหมด 16 หน้า
ซึ่ง หนึ่งในเหตุผล ของการอุทธรณ์ ของ บริษัท AIA จำเลย ข้อหนึ่ง ที่น่าสนใจ ก็คือ
อุทธรณ์ ของ บริษัท AIA จำเลย ในหน้าที่ 11 บรรทัดที่ 1 วรรคที่ 2 ถึงบรรทัดที่ 3 วรรคแรก มีข้อความว่า
“อีกทั้งคดีนี้ทางจำเลย ก็ปฏิเสธความถูกต้องของเอกสารหมาย จ. 2 (แผ่นพับ แบบสะสมทรัพย์ 21TMAE ที่โจทก์ ยื่นเป็นพยานเอกสารในศาลของโจทก์) นี้มาตั้งแต่ต้น ทั้งตัวโจทก์เอง ก็ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่าจำเลย เป็นผู้จัดทำเอกสารดังกล่าวขึ้นมาแต่อย่างใด”
ทำให้คิดถึง เรื่อง ทางการเมืองในอดีต เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่อง ที่พรรคการเมืองฝ่ายค้าน นำเสนอข้อมูลให้ประชาชนทราบว่า โครงการของรัฐบาลโครงการหนึ่ง น่าเชื่อว่าจะมีการทุจริต ถ้าจำไม่ผิด เท่าที่จำได้ ผู้นำฝ่ายรัฐบาล ออกมากล่าวทำนอง ว่า “ ถ้าฝ่ายค้านมีใบเสร็จรับเงินก็ให้นำมาให้ดูจะจัดการให้ ”
(การทุจริต จะมีใบเสร็จรับเงิน ได้อย่างไร)
เมื่อข้าพเจ้า ทำคำแก้อุทธรณ์ ของบริษัท AIA จำเลยเสร็จแล้ว ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษา ออกมาอย่างไร ก็จะได้บรรทัดฐานในกรณีนี้ ซึ่งประชาชน ควรที่จะได้ทราบ ถึงผล ของคำพิพากษา ของศาลอุทธรณ์ ต่อไป
อย่างน้อย คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ในคดีของ ข้าพเจ้า นี้ ก็คงจะเป็นกำลังใจให้กับประชาชนได้บ้าง ในการที่จะรียกร้องความเป็นธรรม ในการฟ้องศาล
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าคำพิพากษาของศาลในคดีนี้ จะออกมาอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้า น้อมรับคำพิพากษา นั้น และ ผลของคำพิพากษา ก็จะเป็นประโยชน์ กับประชาชน
ถ้าคำพิพากษาของศาล เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว พิพากษาให้ข้าพเจ้า เป็นฝ่ายชนะคดี ผลของคำพิพากษา ก็จะสร้างกำลังใจ ให้กับประชาชน ที่ต้องการจะเรียกร้องความเป็นธรรม โดยการฟ้องศาลได้
แต่ก็ยังไม่ถือว่า ข้าพเจ้า ทำหน้าที่ ของคนไทย ตอบแทนคุณของประเทศชาติ ด้วยการปกป้อง เงินออม เพื่อความมั่นคงในชีวิต ของประชาชน ที่ควรจะได้รับตามความเป็นจริง ได้สำเร็จ
ข้าพเจ้า จะปกป้องประชาชนได้สำเร็จ ก็ต่อเมื่อ ประชาชนได้รับเงิน ครบกำหนดสัญญา ไม่น้อยกว่า ที่ตัวแทนขายประกันชีวิต มาเสนอขายประกันชีวิตให้กับประชาชน โดยที่ไม่ต้องฟ้องเป็นคดี เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
เรื่องนี้ เป็นเรื่องของการออมเงิน เพื่อความมั่นคงในชีวิต และ เรื่องนี้ มีประชาชน เป็นจำนวนมาก ที่ได้รับผลกระทบ จึงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับประชาชนในวงกว้าง
บทเรียนที่ ข้าพเจ้าได้รับ จากการทำประกันชีวิตครั้งนี้ ก็คือ เมื่อตอนที่ตัวแทนขายประกันชีวิต มาขายประกันชีวิตให้กับข้าพเจ้า เมื่อ 21 ปี ก่อนนั้น ข้าพเจ้า มีความคิดว่า
การที่ข้าพเจ้า ตัดสินใจทำประกันชีวิตในครั้งนั้น เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง และข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนฉลาด ที่ตัดสินใจทำประกันชีวิตไว้ แต่อีก 21 ปี ผ่านมา หลังจากที่ข้าพเจ้า ผ่านการต่อสู้คดี เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมแล้ว
ในปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้า มีความคิดว่า ตัวข้าพเจ้า เป็นคนที่โง่ที่สุด ที่ตัดสินใจทำประกันชีวิต เมื่อ 21 ปี ที่แล้ว
ประเด็นสำคัญ ในการต่อสู้คดีนี้ นั้น อยู่ที่ว่า การต่อสู้คดีนี้ นั้น เป็นการต่อสู้คดีกัน ด้วยความสัตย์จริง ทั้งหมด หรือ ไม่
ความเป็นจริง ในเรื่องที่เป็นมูลเหตุแห่งคดีนี้ นั้น เป็นอย่างไร ย่อมรู้อยู่แก่ใจของทุกฝ่ายดี
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า
คนโกหก ทั้งที่รู้อยู่ ทำชั่วได้ทุกชนิด
ข้าพเจ้า ขอฝากบทธรรมนี้ไว้ เพื่อเป็นการเตือนใจ
ถ้าท่านเชื่อ เรื่อง ผลของกรรม
เงินที่ประชาชน หามาได้ จากหยาดเหงื่อแรงงาน ในการทำงานที่สุจริต และออมเงินนั้น เพื่อความมั่นคงในชีวิต ไม่ว่าประชาชน จะออมเงิน ในรูปแบบใดก็ตาม เงินออมของประชาชนนั้น เป็นเงิน ที่บริสุทธิ์
ใครก็ตาม รวมทั้ง ผู้ที่ช่วยเหลือ ผู้ที่สนับสนุน และ ผู้ที่ดำเนินการ เบียดบัง เอาเงินออมของประชาชน ที่บริสุทธิ์ ที่ประชาชน ออมเงินไว้ เพื่อความมั่นคงในชีวิต นั้น ไปโดยไม่ชอบ
ผลของการทำกรรมนี้ นั้น มีผลมาก เป็นกรรมใหญ่ เป็นกรรมหนัก และ ผลของกรรมนี้ จะส่งผล ตามตอบสนอง ผู้ที่ร่วมทำกรรมนี้ ทุกคน ต่อไป ทั้งในชาตินี้ และ ใน ทุกภพ ทุกชาติ
จากการยื่นอุทธรณ์ ของบริษัท AIA ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2555 ในคดีที่ข้าพเจ้า ฟ้องบริษัท AIA เป็นจำเลย ในคดีนี้ นั้น ศาลแขวงพระนครใต้ ส่งหมาย นัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ ให้ข้าพเจ้าไปฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ใน วันที่ 11 กันยายน 2555 เวลา 13.00 น.
ใจความ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๐,๘๙๔.๕๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๔๐,๖๘๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คำสั่งศาล อุทธรณ์
โดยสรุป
ไม่อนุญาตให้อุทธรณ์ และ ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่จำเลย
จากคดีที่ข้าพเจ้า ฟ้อง บริษัท AIA เป็นจำเลย ดังกล่าว ประชาชน ได้ทราบเรื่องเริ่มต้นของมูลเหตุของการฟ้องคดีนี้ ได้ทราบ คำพิพากษาของคดีนี้ และ คำสั่งของศาลอุทธรณ์แล้ว
ข้าพเจ้า หวังว่า จากคดีที่ข้าพเจ้าฟ้อง บริษัท AIA เป็นคดีนี้ จะเป็นคดีตัวอย่างให้ประชาชนได้ศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ กับ ประชาชนในการเรียกร้องความเป็นธรรม ในกรณี เช่นเดียวกับข้าพเจ้า ต่อไป
ทรงกฤษณ ศรีสุขวัฒนา
พิจารณาตาม ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งและพานิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก
ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท กันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดใน พระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เว้นแต่ ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ หรือได้รับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ได้ หรือถ้าไม่มีความเห็นแย้ง หรือคำรับรองเช่นว่านี้ ต้องได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์เป็นหนังสือ จากอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคผู้มีอำนาจ แล้วแต่กรณี
--
ในกรณีนี้ ทนายจำเลย ดันอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งเข้าข้อต้องห้ามในการอุทรณ์คดี ตามป.วิแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรก ห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
--
และ ต้องห้ามฎีกา ตามมาตรา 248 วรรคแรก
ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท กันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง เว้นแต่ผู้พิพากษา ที่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลอุทธรณ์ได้มีความเห็นแย้ง หรือผู้พิพากษา ที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นก็ดี ศาลอุทธรณ์ก็ดี ได้รับรองไว้หรือรับรองในเวลาตรวจฎีกาว่ามีเหตุสมควร ที่จะฎีกาได้ ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคำรับรองเช่นว่านี้ต้องได้รับ อนุญาตให้ฎีกาเป็นหนังสือจากอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์
29/10/2560 เพิ่งเห็นว่ามีผู้เข้ามาตอบเพิ่มจากระบบ สรุปผลการร้องเรียนในปลายปี 57
- ติดต่อ คปภ. และเจ้าหน้าที่นัดไกล่เกลี่ย 2 ครั้ง แต่ไม่เป็นผล
บ.ประกัน ไม่รับผิดชอบใดๆ เจ้าหน้าที่แจ้งว่า คปภ.มีอำนาจบังคับให้บริษัททำตามเงื่อนไขผลประโยชน์ในกรมธรรม์เท่านั้น พร้อมแจ้งว่ากรณีนี้หากต้องการรับผลประโยชน์ตามใบสรุปฯของตัวแทนที่นำมาเสนอ ต้องฟ้องร้องบริษัทฯเอง เกินกว่าอำนาจหน้าที่ของ คปภ.ที่จะใช้บังคับ (จนท.คปภ. ที่รับเรื่องก็ทราบเรื่องราวผลการตัดสินของศาลกรณีคุณ ทรงกฤช) - ไปร้องเรียน สคบ. (ผ่านระบบ Email ข้อร้องเรียน) กว่า จนท.สคบ.จะติดต่อกลับมาเป็นเดือน ซึ่งใน email ได้ upload เอกสารทั้งหมดเพื่อใช้เป็นข้อมูลแนบไปพร้อม Email แต่ จนท.สคบ. ขอให้ผม Fax เอกสารทั้งหมดให้เขา เนื่องจากเขาไม่สะดวก download และ print เอกสาร (เอกสารค่อนข้างเยอะ จึงไม่ค่อยสะดวกจะ Fax จึงขอเป็นเอาเอกสารเข้าไปพบเพื่อหารือแทน แต่ จนท.ปฎิเสธและอยากให้ Fax มาเพื่อเขาจะได้นั่งอ่านก่อน)
สุดท้ายหารือเขาเรื่องความเป็นไปได้ในการที่ สคบ. จะฟ้อง บ.ประกันแทนผู้บริโภค ซึ่ง จนท.บอกว่าต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนจนไปจบที่คณะกรรมการชุดใหญ่ที่มีระดับผู้บริหารของ สคบ. นั่งหัวโต๊ะ ซึ่งใช้เวลาอีกนาน และ ต้องเป็นความเสียหายร้ายแรงต่อผู้บริโภคในวงกว้างจริงๆเท่านั้น พอวางสาย ผมก็มานั่งคิดประมวลการติดตามเรื่อง ความกระตือรือร้น ของ จนท.สคบ. และเข้าใจในปริมาณงานข้อร้องเรียนจำนวนมากที่ สคบ.รับอยู่ จึงคิดว่าโอกาสที่ สคบ. จะฟ้อง บ.ประกัน ในกรณีผม น่าจะหริบหรี่ สุดท้ายก็ไม่ได้ Fax เอกสารไปให้ จนท.สคบ. แต่อย่างใด และปล่อยให้เรื่องราวจบลงโดยไม่ได้มีการร้องเรียนเพิ่มเติม หรือฟ้องร้องต่อศาลแต่อย่างใด
https://pantip.com/topic/32638672
ภาคประชาชนที่ฟ้อง บริษัทประกัน จะค่อนข้างยุ่งยาก ลำบาก ด้าน สคบ.ปัจจุบันงานอาจจะเยอะ และ คงต้องทำชิ้นงานที่สำคัญใหญ่ก่อน หรือ ด้าน คปภ. ไม่มีอำนาจบังคับ แต่ในปัจจุบัน มีความพร้อมมากขึ้น ทางที่เร็วที่สุด คือ ฟ้องดำเนินคดี ผ่านขั้นตอนศาลโดยทนายความ (ใช้บริการทนายความ)
ถ้าเป็นบริษัทประกันฟ้องลูกค้า ปกติไม่ค่อยมีให้เห็น เพราะ บริษัทประกันมักไม่ค่อยอยากทำเพราะจะส่งผลเสียหายต่อชื่อเสียงธุรกิจ เต็มที่ก็ได้แค่ส่งเอกสารไปตามกระบวนการ พอถึงจุดๆหนึ่งที่จะต้องเผยแพร่ต่อสารธารณะอาจจะต้องทบทวนใหม่ ว่าคุ้มหรือไม่ ซึ่งถ้าลูกค้ากลัว ก็จะหมอบตั้งแต่แรก หวานหมูบริษัทประกันไป
คุณจำเอาไว้ ..
แม้สุดท้ายคุณต้องจ่ายค่าเสียหายอะไรก็ตามที่บริษัทประกันกล่าวอ้าง เอาเปรียบคุณ และแม้ท้ายที่สุดคุณไม่ได้รับความเป็นธรรม จากหน่วยงานต่างๆ ทั้งของรัฐ แต่คุณจงภูมิใจ ที่ได้มีโอกาสสู้ สู้เพื่อศักดิ์ศรี สู้เพื่อความยุติธรรม .. ผลของมันจะทำให้บริษัทที่ไร้ธรรมภิบาลเหล่าเผยตัวตนที่ชั่วร้ายออกมา สู่สารธารณะ ทุกคนจะได้เห็นร่างที่แท้จริงของ บริษัทประกันภัยที่เห็นแก่ได้ เหล่านั้นอย่างชัดเจน เป็นการเตือนภัยให้ประชาชนได้รู้ ถือเป็นเรื่องที่ดี อีกทั้งยังเป็นการตรวจสอบ ความมีประสิทธิภาพขององค์กรหน่วยงานรัฐใดๆ ที่ถูกตั้งขึ้นว่า สมค่ากับการรับรายได้ ที่มาจากประชาชนเพียงใด