วางแผนเกษียณอายุ
สมัยก่อนฝากเงินธนาคารเป็นการลงทุนที่ดี ดบ.18% ปัจจุบัน 0.5%+ ต่อปี และในบางประเทศ ฝากเงินธนาคาร ต้องเสียค่าฝาก แนวโน้มจะเป็นไปในทิศทางนั้น ปัจจุบันดอกเบี้ยที่ได้รับจากธนาคาร ยังแพ้ อัตราเงินเฟ้อ เช่น อัตราเงินเฟ้อ 5% ดบ.ธนาคาร 1%
ประชากรไทย 70 ล้านคน
วัยเกษียณอายุ 60 ปีขึ้นไป 10 ล้านคน ไม่ถึง 10% หรือ 1,000,000 คน ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเกษียณแบบค่อนข้างสบาย อยากซื้อ อยากทานอะไร มีเงินให้ซื้อ ให้ใช้
คนที่เหลือ มีชีวิตความเป็นอยู่ต่ำกว่ามาตรฐาน หลายคนยังต้องทำงานเพื่อยังชีพ ขณะที่หลายคนต้องอาศัยเงินจุนเจือจากรัฐบาล
จะเกษียณที่อายุเท่าไร ตอนนั้นจะใช้เงินเดือนละเท่าไร
ลูกหลานเลี้ยงดู
อดีต เราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ พี่น้องผูกพันพึ่งพากัน เมื่อวัฒนธรรมตะวันตกแพร่เข้ามา วิถีชีวิต อาหารการกิน เปลี่ยนไป ลูกๆเมื่อแต่งงานมีครอบครัวจะแยกไปอยู่กันตามลำพัง ในจังหวัดบ้าง กรุงเทพบ้าง กลับมาเยี่ยมพ่อแม่ เฉพาะเทศกาล ปีละ 2-3 ครั้ง แต่ละคนมีภาระรัดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ การจุนเจือช่วยเหลือกันก็น้อยลง การคาดหวังให้ลูกหลานเลี้ยงดูจึงมีความเสี่ยง ทำไมไม่เก็บเงินของเราเองละ ถ้าทำได้
ค่าครองชีพ
ภาวะดอกเบี้ยต่ำอัตราเงินเฟ้อมักจะต่ำไปด้วย โดยทั่วไปอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ 2-3% และ 20 ปีข้างหน้า อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณ 100% จากฐานปัจจุบัน นั่นคือ ค่าครองชีพจะเป็น 2 เท่าของปัจจุบัน
ถึงตอนนั้น ค่าใช้จ่ายจะเป็นเท่าไร
ตัวเลขจะอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ภาระหนี้สินต่างๆได้ชำระหมดแล้ว ไม่ว่า จะเป็นค่าผ่อนบ้าน , ผ่อนรถ หรือทรัพย์สินอื่นๆ
ถ้ายังมีหลักทรัพย์ที่ติดจำนองยังต้องผ่อนชำระอยู่ เช่นที่ดิน ควรจะขายทิ้งไป เพราะอายุปูนนั้นแล้ว คุณยังจะสะสมหลักทรัพย์ให้ใครอีก ลูกๆก็โตหมดแล้ว ยกเว้นถ้าลูกยังเรียนไม่จบ ภาระการส่งเสียลูก และลูกๆก็เป็นหลักทรัพย์ทางจิตใจที่ทรงคุณค่าที่สุดของคุณ
เมื่อไม่มีหนี้สิน
มีแต่ค่าใช้จ่ายประจำ เช่น อาหาร , ค่าน้ำ , ค่าไฟ , ค่าโทรศัพท์ , อินเตอร์เน็ต ,ภาษีสังคมฯลฯ คงการดำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี และสถานภาพเดิมๆของชนชั้นกลางเอาไว้ อย่างน้อยเรายังต้องใช้รถยนต์ส่วนตัว , มีเครื่องปรับอากาศที่ห้องนอน
ค่าน้ำมันรถ, ค่าซ่อมบำรุง , ค่าเบี้ยประกันรถ , ค่าเช่ารายเดือน
ค่าใช้จ่ายอย่างน้อยเดือนละ 20,000 บาทต่อคน
ถ้าสามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ค่าใช้จ่ายรวมอาจลดเป็น 30,000 บาท/2คน
ปีละประมาณ 250,000 ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายมาตรฐาน ยังไม่รวม ความต้องการมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นไปอีก เช่น ต้องการเป็นสมาชิกสปอร์ตคลับ มีการสังสรรกับเพื่อนทุกสัปดาห์ล่ะ?
เมื่อเกษียณอายุ เราไม่ได้ทำงานแล้ว รายได้หลักจึงมาจากดอกเบี้ยและเงินปันผล และ ผลตอบแทนการลงทุนที่น่าพอใจ และยอมรับได้ทั่วโลก อยู่ที่ 5% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ยังมีอาชีพที่สามารถทำเงินให้เราได้ตลอดชีวิต เป็นลักษณะ passive income หรือ ที่คล้ายๆกัน เช่น งานด้านประกันชีวิต ประกันกันวินาศภัย งานเครือข่าย ฯลฯ
ลงทุน 100 บาท ได้ผลตอบแทน 5 %
5 ล้านบาท คือ คำตอบ ที่คุณจะต้องมี เมื่อยามเกษียณและใช้เงินได้ ปีละ 250,000 ตลอดไป
หากต้องการผลตอบแทนที่ 250,000 บาทต่อปี ต้องมีเงินต้น 5,000,000 บาท
อย่างไรก็ตาม หากใช้อายุเฉลี่ย การมีชีวิตอยู่ของคนทั่วไป ประมาณ 80ปี ก็สามารถคำนวณ การใช้เงินทั้งหมด ก่อนตายได้ โดยตัวเลขอาจจะไม่สูงกว่า 5ล้านนั้น
(โดยสถิติของคนไทยหากมีอายุอยู่ถึง 60 ปี จะมีโอกาสอยู่ได้อีก 20 ปี หรืออยู่ถึงอายุ 80 ปี)
สำหรับคนทำงานกินเงินเดือน นักวางแผนทางการเงิน มักจะแนะนำให้คุณประมาณการเงินเดือนสุดท้าย ณ วันที่จะเกษียณอายุ แล้วหารด้วยสอง ตัวเลขนั้นจะเป็นค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยที่คุณต้องใช้หลังเกษียณ
แนวคิด1
ถ้าต้องการยอดเงินที่ 5 ล้านบาท มีเวลาเก็บ 20 ปี ก็ต้องเก็บปีละ 250,000 หรือเดือนละ 20,830 บาท
หากคุณเริ่มเก็บเงินเมื่ออายุ 40 ปี ต้องการเกษียณที่อายุ 60 ปี
คุณต้องเริ่มเก็บเดือนละ 20,830 บาททุกเดือน โดยไม่หยุดไป 20 ปี คุณก็จะมีเงินเตรียมพร้อมสำหรับการเกษียณ
แนวคิด2
ในทางปฎิบัติ การลงทุนย่อมได้ผลตอบแทนหรือดอกเบี้ยทบต้นไปด้วย ยิ่งเป็นการลงทุนระยะยาวเป็น 20-30 ปี ดอกผลที่ได้จะยิ่งสูง จึงลดภาระเงินต้นไปได้เยอะ
หากมีเวลาเก็บเงิน 20 ปี และผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 5% คุณจะต้องเก็บเงินเพียงเดือนละ 12,500 บาท หรือปีละ 150,000 บาทเท่านั้น แล้วดอกผลที่งอกเงยจะพอกพูนเป็นเงิน 5 ล้านบาท ณ สิ้นปีที่ 20 ตัวเลขนี้ค่อยทำให้มีกำลังใจเก็บกันหน่อย อย่างไรก็ตามคุณยังต้องบังคับตัวเองให้เก็บเงินถึง 20 ปี ถึงจะบรรลุสิ่งที่ต้องการ
แนวคิด3
ไม่ได้ระบุยอดเงินต้นที่ต้องการ แต่ให้แปรเปลี่ยนไปตามฐานเงินเดือนของแต่ละคนแล้วสรุปออกมาเป็นเงินบำนาญต่อ เดือนที่จะได้ใช้ยามเกษียณไปจนเสียชีวิต บนสมมติฐานว่าเงินเดือนเพิ่มปีละ 5% ผลตอบแทนการออม 7% เกษียณที่อายุ 60 ปี โดยหลังอายุ 60 ปี เงินออมของเราจะเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนจะได้เพียง 5 % ต่อปี และเรายังมีชีวิตอยู่ได้อีก 20 ปี
แผนการเก็บออมต่อเดือน ณ อายุเริ่มต้นที่ต่างกัน
เริ่มอายุ | สัดส่วนที่ต้องเก็บออมในแต่ละเดือนไปจนถึงอายุ 60 ปี | รายได้ที่จะได้รับเมื่อเกษียณเทียบกับเงินเดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ |
30 40 50 55 | 12% 21% 45% 91% | 40% 40% 40% 40% |
หมายเหตุ แนวคิดนี้ เป็นแบบทยอยใช้เงินต้นและดอกเบี้ย ตัวเงินต้นจะหมดในปีที่ 20 ของการเกษียณอายุ ( เข้าลักษณะลดต้นลดดอก )
แนวทางการจัดสัดส่วนพอร์ตลงทุนเพื่อเกษียณอายุ
ประเภทการลงทุน | ผลตอบแทนที่คาด | แบบอนุรักษ์นิยม | แบบสายกลาง | แบบชอบเสี่ยง |
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/ประกันชีวิต/กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ | 5% | 40% | 30% | 30% |
เงินสด/เงินฝาก/ตั๋วแลกเงิน/บัตรฝากเงิน | 3-4% | 30% | 20% | 10% |
พันธบัตร/หุ้นกู้/กองทุนรวมตราสารหนี้ | 5% | 30% | 20% | 10% |
หุ้น/กองทุนรวมหุ้น/ETF | +/- 20% | – | 15% | 30% |
บ้านเช่า/หอพัก/อาคารพานิชย์ให้เช่า/อพาร์ตเมนท์ | 5-15% | – | 15% | 20% |
รวม | 5% | 100% | 100% | 100% |
1)กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ( รวมถึงกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ )
ข้อดี | ข้อเสีย |
– เก็บออมอย่างเป็นระบบ – ได้รับเงินสมทบจากบริษัทอีกหนึ่งเท่าตัวทุกเดือน – ผลตอบแทนจากการลงทุนได้รับการยกเว้นภาษี หากสมาชิกทำงานจนเกษียณอายุ , พิการหรือเสียชีวิต – เงินสะสมของพนักงานได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี และ ยกเว้นภาษีสูงถึงปีละ 300,000 บาท – เงินกองทุนแยกจากเงินทุนของบริษัทนายจ้าง จึงไม่สูญหายแม้บริษัทล้มละลายไป – เป็นเงินก้อนใหญ่ จึงลงทุนได้หลากหลาย – มีกฎหมายให้ความคุ้มครอง มีข้อกำหนดการลงทุนที่เข้มงวด และต้องมีบริษัทผู้เชี่ยวชาญการลงทุนเป็นผู้บริหารกองทุน | – ไม่มีสภาพคล่อง หากมีความจำเป็นใช้เงิน ต้อง กู้เงิน โดยใช้เงินสะสมเป็นตัวอ้างอิง ซึ่งขึ้นกับนโยบายของแต่ละกองทุน หรือ ต้องลาออกจากกองทุน ซึ่งต้องรับภาระภาษีของเงินทั้งจำนวน
– หากมีการย้ายงาน หรือออกจากงาน ต้องออกจากกองทุนเดิม ทำให้การเก็บเงินขาดตอน เว้นแต่จะได้งานใหม่ทันที และไม่มีระยะทดลองงาน เพื่อให้สามารถโอนเงินเดิมเข้าร่วมในกองทุนของบริษัทใหม่ได้ทันที
– เงินส่วนใหญ่ลงทุนในพันธบัตร และหุ้นกู้ ดังนั้นผลตอบแทนการลงทุนอาจผันผวนตามภาวะดอกเบี้ยที่ขึ้นลงได้ |
2) ประกันชีวิต
ข้อดี | ข้อเสีย |
– เก็บออมอย่างเป็นระบบ – ผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอนตลอดสัญญา – ได้รับการคุ้มครอง เต็มวงเงินทันทีที่เก็บออม – มีสวัสดิการต่างๆให้ เช่นการรักษาพยาบาล เงินชดเชยชนิดต่างๆ – ไม่เสียภาษีทั้งเงินปันผล และเงินสินไหม – ได้สิทธิลดหย่อนภาษีปีละ 300,000 บาท – กฎหมายให้ความคุ้มครองสูง มีข้อกำหนดการลงทุนที่เข้มงวด หรือสิทธิในกรณีที่เสียชีวิต เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิ์ยึดเงินสินไหมเกินกว่าเบี้ยประกัน ที่จ่ายไป | – สภาพคล่องต่ำ หากมีความจำเป็นใช้เงิน ต้องกู้เงินจากกรมธรรม์ หรือ เวนคืนกรมธรรม์ มักจะขาดทุน ( ถ้ายังไม่ถึงจุดคุ้มทุน ) – ผู้ลงทุนต้องมีอายุและสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ มาตรฐาน – มีภาระฝากเบี้ยประกันทุกปี ตามสัญญา – การเบิกสวัสดิการต่างๆ มีเงื่อนไขและข้อกำหนดเฉพาะ ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจให้ดีเสียก่อน |
3) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
ข้อดี | ข้อเสีย |
– คนทุกสาขาอาชีพมีสิทธิ์เข้าร่วมกองทุนได้ – สามารถลงทุนได้ไม่จำกัดหน่วยลงทุน – สามารถโอนย้ายการลงทุนจากกองทุนรวมเพื่อการ เลี้ยงชีพหนึ่งไปยังกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพอื่นได้ – เงินลงทุนจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้ สูงถึง 300,000 บาทต่อปี – ผลตอบแทนจากการลงทุนได้รับการยกเว้นภาษี หากมีการลงทุนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และผู้ลงทุนมีอายุถึง 55 ปี | – ต้องเพิ่มเงินลงทุนสม่ำเสมออย่างน้อยปีละครั้ง ไม่ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อปี – การลงทุนจะเป็นระยะยาวต่อเนื่อง ไม่มีการจ่ายเงินปันผล หรือ ผลประโยชน์ใดๆระหว่างลงทุนจะจ่ายคืนแก่ผู้ลงทุนครั้งเดียว เมื่อมีการไถ่ถอนหน่วยลงทุน – หากไถ่ถอนก่อนผู้ลงทุนมีอายุ 55 ปี จะต้องคืนภาษีที่ได้รับการลดหย่อนใน 5 ปีสุดท้ายและผลตอบแทนจากการลงทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะต้องนำมาคำนวณภาษีเงิน ได้ ณ ปีที่ไถ่ถอน – การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับนโยบายการลงทุนของกองทุนนั้นๆว่า ลงทุนหลักทรัพย์ประเภทใด |
4) เงินสด
ข้อดี | ข้อเสีย |
– หยิบใช้ได้ตลอดเวลา – ไม่กังวลเรื่องสถาบันการเงินล้ม – ไม่มีภาระเก็บเงิน จะเก็บเท่าไร เมื่อไรก็ได้ | – ยุ่งยากในการจัดเก็บ เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม – เงินไม่งอกเงย – หากมีมากๆ ( มากกว่า 5 ล้านบาท ) เสี่ยงต่อการถูกเพ็งเล็งว่าฟอกเงิน |
5) เงินฝาก (ออมทรัพย์/ประจำ)
ข้อดี | ข้อเสีย |
– เบิกถอนสะดวก – มั่นคง (รับประกันเงินต้นไม่เกิน 1 ล้าน/บัญชี) – ได้รับผลตอบแทนแน่นอน – ใช้เป็นหลักทรัพย์ ค้ำประกันได้ – มีจำนวนเงินน้อยก็ฝากได้ | -มีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง – เมื่อครบรอบการฝากเงิน (ROLLOVER)ในอนาคต รัฐมีแนวโน้มจะยกเลิกการค้ำประกันเงินฝาก – ผลตอบแทนต่ำ – เสียภาษีดอกเบี้ย 15% (ฝากประจำ) |
6) ตั๋วแลกเงิน , บัตรเงินฝาก ( B/E , NCD )
ข้อดี | ข้อเสีย |
– ดอกเบี้ยสูง – มั่นคงเนื่องจากธนาคารเป็นผู้ออกหรือค้ำประกัน | – สภาพคล่องต่ำ ต้องฝาก 1 ปีขึ้นไป – หากต้องการใช้เงินก่อนต้องขายลดราคา – เสียภาษีดอกเบี้ย 15% |
7) พันธบัตร
ข้อดี | ข้อเสีย |
– มั่นคง เนื่องจากรัฐเป็นผู้ออก ( ถึงแม้จะกังวลใจ บ้างว่า รัฐบาลมีภาระหนี้สาธารณะสูงเหลือเกิน แต่ รัฐบาลก็ไม่ได้หนีหายตายจากไปไหนแน่นอน ) – โดยทั่วไปดอกเบี้ยจะสูงกว่าธนาคาร และรับรอง ดอกเบี้ยในระยะเวลาที่ยาวกว่า – ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ | – สภาพคล่องต่ำ – ถ้าต้องการขายก่อนครบกำหนดสัญญา จะมี ความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนของราคาที่เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย เพราะถ้าหาก อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเพิ่มขึ้น พันธบัตรที่ออกในช่วง ก่อนหน้าราคาจะลดลง – ตลาดพันธบัตรไม่ได้เป็นตลาดที่มีประสิทธิภาพ ถ้าต้องการใช้เงินเร็วๆ ก่อนครบกำหนด จะขายไม่ได้ราคา – ใช้เงินลงทุนมาก – เสียภาษีดอกเบี้ย 15% |
8) หุ้นกู้
ข้อดี | ข้อเสีย |
– ดอกเบี้ยสูง – รับรองอัตราดอกเบี้ยที่สูง หากเป็นหุ้นกู้แบบกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ | – สภาพคล่องต่ำ – เป็นการกู้ยืมที่ไม่มีหลักประกัน จึงมีความเสี่ยงในเรื่องการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย – มีความผันผวนของราคา หากต้องการขายออก ก่อนครบกำหนด – ตลาดหุ้นกู้ ยิ่งไร้ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะของ บริษัทที่มีพื้นฐานอ่อน จะไม่ค่อยมีการซื้อขาย ทำให้ขายไม่ได้ราคา หรือ ไม่มีผู้รับซื้อ – เสียภาษีดอกเบี้ย 15 % – ใช้เงินลงทุนมาก |
9) กองทุนตราสารหนี้
ข้อดี | ข้อเสีย |
– บริหารผ่านมืออาชีพ – มีเงินน้อยก็สามารถลงทุนได้ – ไม่เสียภาษีหากขายหน่วยลงทุนแล้วได้กำไร ( CAPITAL GAIN ) – ซื้อขายหน่วยลงทุนได้ตลอดเวลา ผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร, ตู้ ATM | – มีความเสี่ยงในเรื่องของราคาที่ผันผวนจากการ เปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ย – เสียค่าใช้จ่ายในการบริหาร ค่าโฆษณา แต่มักต่ำกว่าการเสียภาษี ถ้าลงทุนด้วยตัวเอง – เงินปันผลต้องจ่ายภาษี 10% |
10) หุ้นสามัญ
ข้อดี | ข้อเสีย |
– ผลตอบแทนสูงมาก หากลงทุนได้ถูกจังหวะ ทั้งในส่วนของกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น และเงินปันผล – กำไรจากราคาซื้อขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี – มีสินค้าให้เลือกลงทุนมากมาย ทั้งประเภทธุรกิจ,ขนาดราคาหุ้น หรือ ลักษณะการเหวี่ยงตัวของราคาหุ้น – มีสภาพคล่อง ซื้อขายได้ทุกวันทำการ | – เสี่ยงสูง อาจไม่ได้รับเงินต้นคืน หรือ ขาดทุนจำนวนมาก – จะได้รับเงินปันผล ก็ต่อเมื่อบริษัทมีผลกำไร – ต้องติดตามข่าวสารตลอดเวลา – ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยพื้นฐานอย่างเดียว แต่ขึ้นกับภาวะตลาดรวม และ จิตวิทยาฝูงชนด้วย – เงินปันผลต้องเสียภาษี 10% หัก ณ ที่จ่าย แต่สามารถนำมาเครดิตภาษีคืนได้บางส่วน เวลาเสียภาษีบุคคลธรรมดา |
11) กองทันรวมตารสารทุน ( หุ้น/วอร์แร้นท์ )
ข้อดี | ข้อเสีย |
– ใช้เงินจำนวนน้อย ก็ลงทุนได้ -ได้ผลตอบแทนสูง หากภาวะตลาดหุ้นดี – บริหารโดยมืออาชีพ มีการกระจายลงทุนในหุ้น พื้นฐาน -ไม่เสียภาษี จากกำไรของราคาหน่วยลงทุน – ซื้อขายหน่วยลงทุนได้ตลอดเวลา | – มีความเสี่ยง เนื่องจากลงทุนในหุ้นสามัญเป็นหลัก – เงินปันผลที่ได้รับต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% – ผลตอบแทนจากการลงทุนต้องหักค่าใช้จ่าย ในการบริหารก่อน – เนื่องจากเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐาน ดังนั้นผลตอบแทนจึงขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลัก |
12) บ้านเช่า/หอพัก/แฟลต/อาคารพานิชย์ให้เช่า/อพาร์ตเมนต์
ข้อดี | ข้อเสีย |
– มีรายได้เข้ามาทุกเดือน และราคาปรับขึ้นได้ในอนาคต – ราคาอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสสูงขึ้นได้ในอนาคต โดยเฉพาะการซื้อในช่วงนี้ที่ยังมีราคาต่ำ – เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้ | – ลงทุนสูง หรือ มีภาระผ่อนนาน – สภาพคล่องต่ำ ต้องรอจังหวะขาย หากต้องการเงินต้นคืน – มีความเสี่ยง เรื่องหาคนมาเช่า – มีภาระในการบริหาร ตามเก็บค่าเช่า หรือ ซ่อมแซม บำรุงรักษา |
อสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อ ต้องมั่นใจว่าอัตราการเข้าพักหรือเช่าต้อง 80% ขึ้นไป
การลงทุนต้องซื้อด้วยเงินสด หากใช้เงินดาวน์ ค่าเช่าที่ได้รับต้องใกล้เคียงกับเงินผ่อนในแต่ละเดือน หรือมากกว่า
13) ทองคำ
ข้อดี | ข้อเสีย |
– ซื้อขายง่าย – เป็นหลักทรัพย์ที่ยอมรับกันทั่วโลก ดังนั้นในกรณีที่เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ทองคำจะเป็นแหล่งพักเงิน ทำราคาขยับสูงขึ้นได้ – ในช่วงอัตราเงินเฟ้อสูง เช่น ภาวะสงคราม จะมีราคาสูง | – มีแนวโน้มด้อยค่าลงเรื่อยๆ เนื่องจาก ประเทศต่างๆทั่วโลก ลดความนิยมในการใช้ทองคำ เป็นทุนสำรองของประเทศ – เสี่ยงต่อการถูกโจรกรรม |
เมื่อได้ลงมือหว่านไถแล้ว จากนั้นต้องคอยติดตามดูแลเป็นระยะๆ รอคอยผลให้งอกเงยจนเมื่อมันเป็นไม้ผลยืนต้นใหญ่แล้ว ท่านก็สามารถเก็บเกี่ยวผลไปได้ตลอดชีวิต