INSURANCETHAI.NET
Mon 18/11/2024 2:46:53
Home » ประกันชีวิต » ศัพท์ประกันภัย ศัพท์ประกันชีวิต\"you

ศัพท์ประกันภัย ศัพท์ประกันชีวิต

2011/11/03 6528👁️‍🗨️

ศัพท์ประกันภัย ศัพท์ประกันชีวิต

1. การประกันชีวิตประเภท สามัญ (Ordinary Insurance)
หมายถึง การประกันชีวิตประเภทหนึ่งที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยสูงกว่าประเภท อุตสาหกรรม โดยชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี รายครึ่งปปี ราย 3 เดือน หรือรายเดือน โดยอาจมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ก็ได้

2. การประกันชีวิตแบบ อุตสาหกรรม (Industrial Insurance)
หมายถึง การประกันชีวิตประเภทหนึ่งที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างต่ำ โดยชำระเบี้ยประกันชีวิตเป็นรายเดือน หรือรายสัปดาห์ โดยไม่มีการตรวจสุขภาพ อาจมีเงื่อนไขกำหนดระยะรอคอยวันเริ่มความคุ้มครอง หรือไม่มีก็ได้

3. การประกันชีวิตประเภท กลุ่ม (Group Life Insurance)
หมายถึง การประกันชีวิตประเภทหนึ่ง ซึ่งคุ้มครองบุคคลที่มีผลประโยชน์อย่างเดียวกัน เช่น ลูกค้าของบริษัท สมาชิกสมาคมหรือสภาพ ทั้งนี้ผู้รับประกันภัยจะออกกรมธรรม์หลักให้แก่นายจ้างสมาคม หรือสภาพในฐานะเป็นผู้เอาประกัน โดยให้ลูกค้าหรือสมาชิกสมาคมหรือสภาพเป็นผู้เอาประกันชีวิต

4. เบี้ยประกันภัยรับ (Written Premium)
หมายถึง จำนวนเบี้ยประกันภัยทุกประเภทที่บริษัทประกันชีวิตได้รับ

5. เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium)
หมายถึง ยอดเบี้ยประกันภัยรับ ที่ผู้เอาประกันชำระในปีแรกของการทำประกันชีวิต

6. เบี้ยประกันภัยรับปีต่อ ไป (Renewal Premium)
หมายถึง ยอดเบี้ยประกันภัยรับที่ผู้เอาประกันชำระเพื่อต่ออายุการทำประกันชีวิต

7. เบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium)
หมายถึง จำนวนเบี้ยประกันภัยรับจากทุกยอด

8. จำนวนเงินเอาประกันภัย (sum Insured)
หมายถึง จำนวนเงินที่ระบุในกรมธรรม์ ซึ่งผู้รับประกันภัยสัญญาจะชดใช้ให้ผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับประโยชน์ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์

9. จำนวนเงินที่จ่ายตาม กรมธรรม์ (Proceeds)
หมายถึง จำนวนเงินสุทธิที่ผู้รับประกันภัยจ่ายให้แก่ผู้เอาประกันภัย เมื่อสัญญาครบกำหนด หรือจ่ายแก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันถึงแก่กรรม

10. อัตราความยั่งยืน ของกรมธรรม์ (Persistency Rate)
หมายถึง ความคงอยู่ของกรมธรรม์ วิธีที่นิยมใช้ในการคำนวณคือจำนวนรายที่ขายได้ในปีแรกเทียบกับปีต่ออายุ หากบริษัทใดมีอัตราความยั่งยืนของกรมธรรม์สูง แสดงว่าความต่อเนื่องในการส่งเบี้ยประกันของลูกค้ามีความสม่ำเสรอมและการ ละทิ้งกรมธรรม์มีน้อย

11. เงินกองทุน (Capital Funds)
หมายถึง ทรัพย์สินที่สูงกว่าหนี้สินของบริษัท ตามราคาประเมิน ซึ่งตามพระราชบัญญัติการประกันชีวิตแล้ว บริษัทประกันชีวิตจะต้องดำรงเงินกองทุนไว้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 ของเงินสำรอง แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท

12. เงินสำรอง (Reserve)
หมายถึง จำนวนเงินซึ่งตั้งสำรองไว้เพื่อประโยชน์เฉพาะกิจ หรือเพื่อประโยชน์ทั่วไป สำหรับการประกันชีวิต ในการคำนวณเบี้ยประกันคงที่ จะมีส่วนหนึ่งของเบี้ยประกันภัยในระยะแรกของสัญญาบริษัทจะเก็บสะสมไว้พร้อม กับดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงินที่พอเพียงสำหรับการชดใช้ต่อผู้เอาประกันในอนาคต ตามสัญญาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ เงินส่วนนี้เรียกว่า “เงินสำรอง”

13. ความยั่งยืนของเบี้ย ประกัน (Premium Persistency)
หมายถึง ความยั่งยืนของเบี้ยประกัน (Premium Persistency) หมายถึง อัตราส่วนของ “เบี้ยประกันภัยปีต่อไป หรือเบี้ยประกันภัยต่ออายุ” (Renewal Premium) ที่เก็บได้เทียบกับเบี้ยประกันภัยที่ครบกำหนดเก็บ ซึ่งถือว่าเท่ากับ “เบี้ยประกันภัยรวม” (Total Premium) ในระยะเดียวกันของปีก่อนนั้น

14. กรมธรรม์ (POLICY) คือเอกสารที่แสดงข้อตกลง เงื่อนไขต่างๆ ของสัญญาประกันภัย ซึ่งออกโดยผู้รับประกัน โดยมีข้อความตรงกับความประสงค์ในใบคำขอ เพื่อใช้เป็นหลักฐานซึ่ง ระบุถึงสาระสำคัญของข้อตกลงเงื่อนไข และความคุ้มครองตามสัญญาประกันภัยระหว่างผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย

15. คำขอเอาประกันภัย (Application Form) คือใบคำขอเอาประกันภัยเป็นเอกสารสำคัญที่ทำขึ้นเพื่อแสดงความประสงค์ว่าจะ เอาประกันภัยอย่างใดอย่างหนึ่งไว้กับผู้รับประกันภัย ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยความจริง (Disclosure) โดยไม่ต้องรอผู้รับประกันภัยสอบถามและหากมีข้อความสอบถามใด ๆ ผู้เอาประกันภัยจะต้องตอบตามความจริงทั้งหมด (Representation) มิฉะนั้นสัญยาประกันภัยอาจตกเป็นโมฆียะ ซึ่งผู้รับประกันภัยสามารถบอกเลิกได้

16. ผู้เอาประกันภัย (The Insured) คือคู่สัญญาที่ตกลงจะส่งเบี้ยประกันภัยจำนวนหนึ่งให้ผู้รับประกันภัย มีหน้าที่เปิดเผยข้อความจริง และชำระเบี้ยประกันภัย และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นในส่วนที่เอาประกันภัยไว้ ผู้เอาประกันภัยก็มีสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่ เกิดขึ้นจริง

17. ผู้รับประกันภัย (The Insurer) คือ คู่สัญญา (โดยทั่วไป คือบริษัทประกันภัย) ที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายจากกรมการประกันภัย กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งตกลงจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือชดใช้เงินจำนวนหนึ่ง ให้ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์
ผู้รับประกันภัยมีสิทธิในการรับเบี้ยประกันภัยและมีหน้าที่พิจารณารับประกัน ภัยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อเกิดวินาศภัยขึ้นตามที่ระบุไว้ในสัญญาในการชดใช้นั้น อาจชดใช้เป็นเงินสด การซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิม หรือการหาของชิ้นใหม่มาแทนที่ได้รับความเสียหายก็ได้

18. คู่สัญญา ผู้รับประโยชน์ (The Beneficiary) คือ เป็นบุคคลภายนอกสัญญาที่มีสิทธิเข้ารับประโยชน์ในค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่ได้ทำไว้ เมื่อมีผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์แล้ว ผู้เอาประกันภัยจะไม่มีสิทธิ รับค่าสินไหมทดแทนอีกต่อไป ทั้งนี้ผู้รับประโยชน์อาจเป็นบุคคลเดียวกับผู้เอาประกันภัยก็ได้

19. ค่าสินไหมทดแทน (Claim Amount) คือ ความเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องให้ผู้รับประกันภัยชดใช้โดยความเสีย หายดังกล่าว เป็นผลมาจากภัยตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ และมีจำนวนตามที่เสียหายจริง

20. เบี้ยประกันภัย (Premium) คือจำนวนเงินที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องจ่ายให้แก่ผู้รับประกันภัย ตามสัญญาประกันภัย ซึ่งการจ่ายอาจจะจ่ายเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือน รายเดือน แล้วแต่จะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยเนื่องจากสัญญาประกันภัยเป็นสัญญาต่างตอบแทน ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่ชำระเบี้ยประกันภัยและเกิดความเสียหายขึ้น ผู้รับประกันภัยก็อาจปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ จนกว่าผู้เอาประกันภัยจะชำระเบี้ยประกันภัยตามหน้าที่ของตน

21. ค่าเสีย หายส่วนแรก (Deductible) คือ ค่าใช้จ่ายที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเองในความเสียหายที่เกิดขึ้นใน แต่ละครั้ง เช่นในการ ประกันภัยรถยนต์มีการกำหนดความเสียหายส่วนแรกไว้ที่ 1,000 บาท/ครั้ง ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นในแต่ละครั้งหากความเสียหายเท่ากับ 1,000 บาท หรือน้อยกว่า คุณจะไม่ได้รับการชดเชยจากบริษัทประกันภัย หากแต่คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง หากความเสียหายมากกว่า 1,000 บาท คุณจะจ่ายเพียงแค่ 1,000 บาทเท่านั้น ทั้งนี้บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบส่วนที่เพิ่มขึ้นเอง ค่าเสียหายส่วนแรกจะมีส่วนในการทำให้มูลค่าเบี้ยประกันภัยของคุณลดลงได้ตาม จำนวนที่ระบุ
นอกเหนือจากนั้น ยังทำให้ ผู้เอาประกันภัยมีความระมัดระวังมากขึ้น (เพราะการเกิดความเสียหายขึ้นจะหมายถึงการเสียค่าเสียหายส่วนแรกด้วย)

22. ทุนเอาประกันภัยหรือจำนวนเงินที่เอาประกันภัย (Sum Insured)
คือ จำนวนเงินที่ตกลงกันว่า ผู้รับประกันภัยจะต้องจ่ายให้ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อเกิดภัยหรือความเสียหายเกิดขึ้นแก่ผู้เอาประกันตามเงื่อนไขในสัญญาหรือ กรมธรรม์
จำนวนเงินที่ผู้รับประกันภัย จะต้องชดใช้เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นตามสัญญาวินาศภัย คือ ความเสียหายใด ๆ ซึ่งจะพึงประมาณเป็นเงินได้และยังรวมถึงความสูญเสียในสิทธิ,ผลประโยชน์หรือ รายได้ด้วย

โมฆียะ คือ การเกิดความบกพร่องในการทำสัญญาเช่น ไม่ระบุความจริงซึ่งจะมีผลให้สัญญานั้นไม่เกิดขึ้นและไม่สามารถนำมาใช้ได้






คอมเม้นท์ที่เพจ 💸 สินเชื่อ




up arrow