INSURANCETHAI.NET
Wed 18/12/2024 13:34:24
Home » พุทธธรรมประกันภัย » สั่ง “พุทธธรรมประกันภัย” หยุดรับประกันวินาศภัยชั่วคราว\"you

สั่ง “พุทธธรรมประกันภัย” หยุดรับประกันวินาศภัยชั่วคราว

2022/06/06 814👁️‍🗨️

บอร์ด คปภ. ให้นายทะเบียนสั่ง “พุทธธรรมประกันภัย” หยุดรับประกันวินาศภัยชั่วคราว
บริษัท พุทธธรรมประกันภัย จำกัด (มหาชน) ฝ่าฝืนกฎหมายหลายประการ
– ดํารงเงินกองทุนต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด
– มีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน
– ประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน

นายทะเบียนจึงสั่งให้บริษัท
– เร่งแก้ไขฐานะการเงินภายในกำหนด
– ห้ามรับลูกค้ารายใหม่
– ห้ามโยกย้ายทรัพย์สิน
ยกเว้นเอามาจ่ายเคลม พร้อมย้ำต้องคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่

27 พฤษภาคม 2565 มติให้บริษัท พุทธธรรมประกันภัย จำกัด (มหาชน) หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป  

บริษัท พุทธธรรมประกันภัย จำกัด (มหาชน)
– มีเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมายในเดือนพฤษภาคม 2564 ต่ำกว่าเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามมาตรา 27 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 นายทะเบียนจึงสั่งให้บริษัทฯ แก้ไขฐานะเงินกองทุนตามมาตรา 27/5 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และบริษัทฯ ได้เสนอโครงการเพื่อแก้ไขฐานะเงินกองทุนตามมาตรา 27/5 โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินโครงการเริ่มตั้งแต่ 1 กันยายน 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขฐานะเงินกองทุนตามมาตรา 27/5 ออกไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ซึ่งนายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัทฯ มีความคืบหน้าในการแก้ไขโครงการโดยมีการเพิ่มทุน จำนวน 140 ล้านบาท มีความพยายามในการแก้ไขฐานะการเงิน ไม่มีการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย ดังนั้น จึงเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ ตามที่บริษัทฯ ร้องขอ

เดือนมกราคม 2565 บริษัทฯ ไม่สามารถเพิ่มทุนให้เป็นไปตามโครงการเพื่อแก้ไขฐานะเงินกองทุนได้ เนื่องจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติด้วยคะแนนเสียงน้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดจึงทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถ

นำมตินั้นไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนจดทะเบียนต่อนายทะเบียนบริษัทมหาชนจำกัดได้ บริษัทฯ จึงมีหนังสือขอให้

นายทะเบียนใช้อำนาจสั่งให้บริษัทฯ เพิ่มทุน จำนวน 160 ล้านบาท นายทะเบียนด้วยความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) จึงใช้อำนาจตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง และวรรคสามแห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สั่งให้บริษัทฯ เพิ่มทุน และต้องดำเนินการเพิ่มทุนชำระแล้วให้ครบจำนวน 160 ล้านบาท ภายในเดือนเมษายน 2565 ตามที่บริษัทฯ ร้องขอ โดยให้ถือว่าคำสั่งของนายทะเบียนดังกล่าวเป็นมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น แต่เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่นายทะเบียนสั่งให้บริษัทฯ เพิ่มทุน 

บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการเพิ่มทุนชำระแล้วให้ครบจำนวน 160 ล้านบาท ให้แล้วเสร็จ ทั้งปรากฏหลักฐานต่อนายทะเบียนว่า บริษัท พุทธธรรมประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีฐานะการเงินและการดำเนินการ ดังนี้ 

1. มีฐานะการเงินไม่มั่นคง โดยมีหนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน จัดสรรเงินสำรองตามมาตรา 23 และจัดสรรสินทรัพย์หนุนหลังตามมาตรา 27/4 ไม่เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด มีสินทรัพย์สภาพคล่องไม่เพียงพอสำหรับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และปรากฏว่าอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัทฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เนื่องจากไม่สามารถหาหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอเพื่อเป็นเกณฑ์ในการแสดงความเห็นต่องบการเงินดังกล่าว และเห็นว่า บริษัทฯ มีความไม่แน่นอนที่มีสาระสำคัญทำให้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทฯ ในการดำเนินงานต่อเนื่อง จึงทำให้นายทะเบียนไม่สามารถมั่นใจได้ว่าบริษัทฯ มีความสามารถในการชำระหนี้ตามภาระผูกพันที่มีต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชนได้ นอกจากนี้เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 กรรมการผู้มีอำนาจผูกพันของบริษัทฯ แจ้งว่า ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ไม่ประสงค์จะเพิ่มทุนเพิ่ม บริษัทฯ จึงไม่มีแหล่งเงินทุนอื่นนอกเหนือจากการรอผลการเจรจาจากผู้สนใจในการร่วมลงทุนกับบริษัทฯ ตามที่บริษัทฯ แจ้งต่อนายทะเบียน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า 

2. มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมจ่ายค่าสินไหมทดแทนล่าช้า อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 36 และมาตรา 37 (11) แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ประกอบกับประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ถือว่าเป็นการประวิงการจ่ายค่าสินไหมทดแทนหรือประวิงการคืนเบี้ยประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย และประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการชดใช้เงิน หรือค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2559รวมทั้ง ยังคงมีจำนวนค่าสินไหมทดแทนคงค้างจำนวนมากจนส่งผลกระทบต่อฐานะและการดำเนินการของบริษัทฯ ตลอดจนชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของธุรกิจประกันภัย ซึ่งสำนักงาน คปภ. อยู่ในระหว่างการสืบสวนข้อเท็จจริงและดำเนินการตามกฎหมายกับบริษัทฯ

นายทะเบียนจึงเห็นว่า บริษัท พุทธธรรมประกันภัย จำกัด (มหาชน) มีฐานะหรือการดำเนินการอยู่ในลักษณะอันอาจเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน อันเป็นไปตามมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 ดังนั้น เพื่อให้การกำกับดูแลและติดตามการแก้ไขปัญหาฐานะและการดำเนินการของบริษัทฯ ให้เป็นไปอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทั้งการติดตามความมั่นคงทางการเงินและธุรกรรมการดำเนินงานที่ถูกต้องโปร่งใส รวมถึงป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยและประชาชนในอนาคต ประกอบกับเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ประโยชน์สาธารณะ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 52 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 ประกอบกับมติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ในการประชุมครั้งที่ 6/2565 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 นายทะเบียนด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) จึงมีคำสั่งให้บริษัท พุทธธรรมประกันภัย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการ ดังต่อไปนี้

1. หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว

2. แก้ไขฐานะการเงินให้เพียงพอต่อภาระผูกพัน และให้มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนเพียงพอตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับคำสั่ง

3. ให้บริษัทฯ เร่งดำเนินการตรวจสอบรายการรับแจ้งการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและเร่งดำเนินการบันทึกลงสมุดทะเบียนโดยเร็วและให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

4. ให้บริษัทฯ จัดทำรายงานเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งมีรายละเอียดอย่างน้อยดังต่อไปนี้รายละเอียดกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังคงมีผลบังคับใช้เป็นรายกรมธรรม์ประกันภัย เช่น หมายเลขกรมธรรม์ประกันภัย ชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของผู้เอาประกันภัย จำนวนเงินที่ต้องชดใช้ตามกรมธรรม์ประกันภัย และสำรองสำหรับเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ตกเป็นรายได้ของบริษัท (UPR) เป็นรายกรมธรรม์

5. ให้บันทึกรายการในสมุดทะเบียน สมุดบัญชี คำนวณและดำรงเงินสำรองประกันภัยให้ถูกต้อง ครบถ้วนตามกฎหมาย

6. ให้เร่งรัดพิจารณาและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประโยชน์ บุคคลผู้มีสิทธิเรียกร้องหรือผู้ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

7. ให้จัดทำรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการและนำส่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ภายในระยะเวลาดังต่อไปนี้ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง โดยให้ดำเนินการตามข้อ 2 ทุกเจ็ดวัน และดำเนินการตามข้อ 3, 4 และ 5 ทุกวันทำการ

ทั้งนี้ ตามมาตรา 54 แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 เมื่อนายทะเบียนมีคำสั่งให้บริษัทหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ห้ามมิให้กรรมการ พนักงาน และลูกจ้างของบริษัทฯ สั่งจ่ายเงินของบริษัทฯ หรือทำการเคลื่อนย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของบริษัทฯ เว้นแต่เป็นการจ่ายเงินเดือนหรือค่าจ้างแก่พนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทฯ ตามปกติ สำหรับการจ่ายเงินอื่นให้เป็นไปตามที่นายทะเบียนกำหนด รวมถึงให้บริษัทฯ รายงานเป็นหนังสือให้นายทะเบียนทราบถึงบรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ทั้งหมดของบริษัทฯ ภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด

นอกจากนี้บอร์ด คปภ. ยังมีมติในกรณีที่บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินและการดำเนินงานตามคำสั่งนายทะเบียนได้อย่างครบถ้วนภายในระยะเวลาที่กำหนดข้างต้น หรือปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทฯ มีการดำเนินการที่อาจเข้าข่ายการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายเพิ่มเติม หรือนายทะเบียนพิจารณาแล้วเห็นว่าหากรอให้ครบกำหนดระยะเวลาที่กำหนดข้างต้นอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน จึงให้สำนักงาน คปภ. ดำเนินการตามมติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ครั้งที่ 6/2565 เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 ต่อไป

“การออกคำสั่งนายทะเบียนดังกล่าวจะช่วยให้สำนักงาน คปภ. สามารถคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนได้เต็มที่และตามประกาศนายทะเบียน เรื่อง กำหนดการจ่ายเงินของบริษัทฯ ที่นายทะเบียนมีคำสั่งให้หยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว ทำให้สำนักงาน คปภ. สามารถเข้าไปควบคุมการจ่ายเงินต่าง ๆ ของบริษัทฯ ได้ทั้งหมด และจัดการปัญหาการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยได้สั่งการไปยังสายตรวจสอบ สายวิเคราะห์ธุรกิจประกันภัย และสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ตลอดจนสำนักงาน คปภ. ทั่วประเทศ ตรวจสอบสาขา/สำนักงานตัวแทนของบริษัทฯ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบและให้ดำเนินการแจ้งการสั่งหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัท/ตัวแทน/นายหน้าประกันภัยขายกรมธรรม์รายใหม่ในระหว่างการหยุดรับประกันภัย พร้อมทั้ง ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่เข้าไปประจำที่บริษัทฯ อย่างเต็มพิกัด เพื่อควบคุมให้บริษัทฯ ดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน หากพบว่าบริษัทฯ ไม่ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เอาประกันภัยหรือประชาชน ก็จะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายในระดับที่เข้มข้นยิ่งขึ้นต่อไป สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ สำนักงาน คปภ. จะตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป หากพบว่ามีการกระทำความผิดจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ติดต่อได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 หรือ www.oic.or.th” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย





สอบถาม บริษัทประกันภัย เจ้าของผลิตภัณฑ์ หรือ ตัวแทน/นายหน้า ทั่วประเทศ



คอมเม้นท์ที่เพจ 💸 สินเชื่อ




up arrow