คนไทย 69% ห่วงสุขภาพ 34% เชื่อว่าสุขภาพจะแย่ลงใน 2022
ผลสำรวจปี 2560 พบคนไทย 69% กังวลปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ อีก 34% เชื่อว่าสุขภาพจะแย่ลงในอีก 5 ปี ข้างหน้า
ผลสำรวจดัชนีความสัมพันธ์ พรูเด็นเชียล ปี 2560 พบคนไทย 69% กังวลปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ อีก 34% เชื่อว่า สุขภาพ จะแย่ลงในอีก 5 ปีข้างหน้า ตอกย้ำความต้องการ ประกันสุขภาพ มีแนวโน้มโตสูง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) กล่าวว่า …
ได้ทำการสำรวจผ่าน ออนไลน์ จากกลุ่มตัวอย่าง 500 คน ที่มีอายุระหว่าง 25-55 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร และมีรายได้อย่างน้อย 3 หมื่นบาท พบว่าคนไทย 69% กังวลปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ อีก 34% เชื่อว่า สุขภาพ จะแย่ลงในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย รู้ตัวดีว่าจะต้องให้ความสำคัญในด้านสุขภาพ แต่มีถึง 61% ที่ไม่กระตือรือร้นในการ รักษาสุขภาพ
นอกจากจะห่วงสุขภาพตัวเองแล้ว ยังมีความเป็นห่วงสุขภาพของคู่รัก โดย 54% ต้องการให้คู่ชีวิตมีสุขภาพที่ดีขึ้น ทำให้เห็นว่า สุขภาพ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว
แม้ว่าคนไทยจะต้องการมี สุขภาพ ดี แต่ความกดดันด้านการเงิน ทำให้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ โดย 80% เลือกที่จะมี ชั่วโมงการทำงานนานขึ้น เพื่อที่จะหารายได้เพิ่ม แทนที่จะเลือกมีเวลาว่างมากขึ้นแต่ได้เงินน้อยลง
ผลสำรวจดัชนีความสัมพันธ์ พรูเด็นเชียล ประจำปี 2017 แสดงให้เห็นถึงข้อมูลเชิงลึก และเข้าใจถึงความต้องการ และข้อกังวลของกลุ่มลูกค้าในตลาด ถึงแม้ว่าสุขภาพจะเป็นปัจจัยหลัก แต่มากถึง 3 ใน 4 ของคนไทย (66%) ยังคงกังวลถึงเงินเก็บ ว่าจะพอใช้ในวัยเกษียณไหม โดย 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการเก็บเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ผลสำรวจที่ได้นี้ช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นของ บริษัทในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ตามความต้องการของลูกค้า เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการออม สุขภาพ เรื่อยไปจนถึงความคุ้มครองชีวิต
PRI เผยผลสำรวจปี”60 ไทยรั้งเบอร์ 5 ด้านความสัมพันธ์การใช้ชีวิต
พรูเด็นเชียลประกันชีวิตเผยผลสำรวจดัชนีความสัมพันธ์ในการใช้ชีวิตประจำปี60 จากกลุ่มตัวอย่าง 4,600 คน ไทยรั้งอันดับ 5 จาก 9 ประเทศในเอเชียด้วยคะแนน 70 คะแนน ลดลง 1 คะแนนจากปีก่อน ขณะ 30% ยังเกิดช่องว่างในความสัมพันธ์ โดยกัมพูชารั้งเบอร์ 1 ในขณะจีนตกอยู่อันดับสุดท้าย หวั่นเทคโนโลยี-สุขภาพกระทบความสัมพันธ์
นายอามัน โชวลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรูเด็นเชียลประกันชีวิต เปิดเผยว่า จากผลสำรวจดัชนีความสัมพันธ์พรูเด็นเชียลประจำปี 2560 (Prudential Relationship Index) จากกลุ่มตัวอย่าง 4,600 คน จาก 9 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยดำเนินการสัมภาษณ์ผู้ใหญ่อายุระหว่าง 25-55 ปี ในช่วงวันที่ 26 มิถุนายน – 20 กรกฎาคม 2560 ในเมืองสำคัญของแต่ละประเทศ สำหรับในประเทศไทย มีการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างรวม 500 คน ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยผู้ตอบแบบสอบถามเป็นผู้ที่พักอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นตัวแทนราว 2 ใน 3 ของผู้ที่มีรายได้ครัวเรือนระดับบนในกรุงเทพฯ
โดยในปีนี้ไทยยังคงอยู่ในอันดับที่ 5 จาก 9 ประเทศในเอเชีย และได้คะแนนความสัมพันธ์ดัชนี PRI อยู่ที่ 70 จาก 100 คะแนน ลดลง 1 คะแนนจากปี 2016 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโดยเฉลี่ยความสัมพันธ์หลักของผู้คนจะช่วยให้บรรลุ 70% ของความต้องการที่ปรารถนา ส่งผลให้เกิด “ช่องว่างในความสัมพันธ์” อยู่ที่ 30% ในประเทศไทย โดยคะแนนดัชนี PRI ที่สูงที่สุดตกเป็นของประเทศกัมพูชาและฟิลิปปินส์ ในขณะจีนตกอยู่ในอันดับสุดท้าย
“ทั้งนี้ในยุคที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทกับชีวิตคนอย่างรวดเร็ว ทำให้ความสัมพันธ์ของคนไทยนั้นสั่นคลอนมากขึ้น และเทคโนโลยีซึ่งรวมไปถึงโซเชียลมีเดียเป็นสาเหตุอันดับที่ 2 ในการทะเลาะกันของคู่รักในไทยหรือคิดเป็น 36% ของคู่รักที่ตอบแบบสอบถามโต้เถียงกันเรื่องเวลาที่ใช้ไปกับโทรศัพท์หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยมี 37% ระบุว่าพวกเขามักจะรู้สึกไม่สบอารมณ์กับการโพสต์ข้อความของคนรักในโซเชียลมีเดีย ขณะที่ 46% ของคนไทยเห็นว่าคนในครอบครัวใช้เวลามากเกินไปกับโทรศัพท์แทนที่จะพูดคุยกัน และอีก 40% เชื่อว่าเวลาที่ใช้ไปกับอุปกรณ์ดังกล่าวมีผลกระทบเชิงลบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวของพวกเขา”
อย่างไรก็ตาม ความต่างระหว่างผู้ชายและผู้หญิงเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีนั้นค่อนข้างชัดเจนประมาณ 71% ของผู้ชายไทยกล่าวว่าพวกเขาเป็นคนที่ให้ความสนใจกับโทรศัพท์มากกว่าอีกฝ่ายเมื่อเทียบกับผู้หญิงอยู่ที่ 51%
นายอามัน กล่าวเพิ่มอีกว่า นอกจากนี้เรื่องการดูแลสุขภาพและความมั่นคงทางการเงินของคนที่เรารักเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆของคนไทยทุกคน เพราะกว่า 69% ของคนไทยกังวลว่าพวกเขาจะยังมีร่างกายแข็งแรงเมื่ออายุมากขึ้นหรือไม่ ในขณะ 34% ของคนไทยเชื่อว่าสุขภาพของพวกเขาจะแย่ลงในอีก 5 ปีข้างหน้า
และแม้ว่าจะมีความกังวลแต่ 61% ระบุว่าตนไม่กระตือรือร้นในการรักษาสุขภาพ เมื่อถามพวกเขาว่าถ้าคู่รักในเมืองไทยสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรเกี่ยวกับคู่ของพวกเขาได้จะเป็นเรื่องอะไร มากกว่า 54% ระบุว่าต้องการให้คู่ชีวิตของตนมีสุขภาพที่ดีขึ้น
“อย่างไรก็ตาม จากดัชนีผลสำวจแสดงให้เห็นข้อมูลเชิงลึกและเข้าใจถึงความต้องการและข้อกังวลของกลุ่มลูกค้าในตลาด ถึงแม้ว่าสุขภาพจะเป็นปัจจัยหลัก แต่มากถึง 3 ใน 4 ของคนไทยหรือ 66% ยังคงกังวลถึงเงินเก็บว่าจะพอใช้ในวัยเกษียณไหม และอีก 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับการเก็บเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ ซึ่งผลสำรวจที่ได้นี้ช่วยเสริมสร้างความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายตามความต้องการของลูกค้าเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการออม สุขภาพ ตลอดจนถึงความคุ้มครองชีวิต”นายอามันกล่าว
https://www.prachachat.net/finance/news-68852
no related articles to display.