เก็บเงินอย่างไรให้เป็นที่พึ่งได้ เมื่อยามยาก
ในตอนหนึ่งของหนังสือ ‘พันครั้งที่หวั่นไหวกว่าจะเป็นผู้ใหญ่’ บอกไว้ว่า
“เรามีความต้องการของบางอย่างแต่เมื่อได้มาแล้ว เพียงไม่นานเราก็จะอยากได้อีกอย่างที่มากกว่าเดิม”
เพื่อตอบสนองความต้องการที่ไร้ขีดจำกัดนั้น เราจึงต้องรู้จักจัดสรรเงินของตัวเองมากขึ้นด้วยและ “การออมเงิน” น่าจะเป็นคำตอบที่เรามองหาอยู่
ความหมายของการออมที่เข้าใจง่ายที่สุดคือ ส่วนของรายได้ที่เหลืออยู่หรือกันเอาไว้ไม่นำมาใช้จ่าย เพื่อไว้ใช้จ่ายในยามเจ็บป่วย เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นหรือเมื่อแก่ชราหรือแม้แต่ใช้ในกิจที่เห็นสมควร
กล่าวแบบเข้าใจง่ายและตรงประเด็นกว่านั้น “เงินออม” เปรียบเหมือนเพื่อนที่ดีที่สุดในเวลาที่เรากำลังลำบากที่สุด ดังนั้น หากเราต้องการทะนุถนอม “เพื่อนแท้” คนนี้ เราจะมีวิธีอย่างไร?
จากตัวคลิปวิดีโอ บอกถึงรูปแบบการออมเงินขั้นพื้นฐานที่เรามักคิดถึงก่อนเสมอเมื่อจะเริ่มต้นออม นั่นคือ การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์ เป็นการออมที่ได้รับดอกเบี้ยและตัวผู้ฝากเองก็ทราบถึงอัตราผลการตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน มีสภาพคล่องสูง สามารถฝากหรือถอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ
การออมเงินประเภทนี้เป็นการออมแบบเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ จากเงินก้อนเล็กกลายเป็นก้อนโต แน่นอนว่ามันผ่านมาทั้งวินัยและความอดทนตลอดระยะเวลาในการออม แต่เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน ใช่หรือไม่?
ในวัย 25 ปี เราวิ่งรอบสนามสองรอบโดยไม่รู้สึกเหนื่อย
อายุ 35 ปี เรากลับมาวิ่งรอบสนามๆ เดิม เพียงแค่เริ่มต้นก็เหนื่อยแล้ว
เมื่ออายุมาถึงเลขสี่ นอกจากเหนื่อยสิ่งที่เพิ่มเติมมาคือ อาจเป็นอาการบาดเจ็บเรื้อรัง
ความเจ็บป่วยไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดเดาได้ต่อให้เป็นคนที่แข็งแรงมาตลอดก็ตาม และหากมันเกิดขึ้นใครจะรับประกันได้ว่า เงินที่เราพยายามออมมาตลอดนั้นจะเพียงพอต่อการรักษา และถึงจะคลอบคลุมการใช้จ่าย แต่เราจะยอมเสียเงินทั้งก้อนที่เก็บมาทั้งชีวิตอย่างนั้นหรือ…
ทางเลือกที่น่าสนใจคือ การออมเงินด้วย “ประกันชีวิต” หลายคนคงเคยเจอนายหน้ามาชวนทำ เราไม่เข้าใจถึงบทบาทของประกันชีวิตและคิดว่าไม่คุ้มค่าที่จะลงทุนหรือออมเงินด้วยวิธีนี้ อาจด้วยผลตอบแทนเป็นตัวเงินที่ต่ำเมื่อเทียบกับลักษณะการลงทุนประเภทอื่นๆ แต่ถ้าคิดถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ประกันจะสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
เพราะแนวคิดที่สำคัญของการทำ “ประกันชีวิต” นั้นใช้เป็นค่าประกันความเสี่ยง ประกันต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนที่และหากเกิดขึ้นเราก็ไม่ต้องนำเงินก้อนที่ออมมาตลอดชีวิตออกมาใช้ อีกทั้งหากมีการสูญเสียเกิดขึ้น ครอบครัวและคนที่เรารักก็ยังไม่ต้องแบกรับภาระที่เหลือตามมาอีกด้วย
ทั้งนี้ ประกันชีวิตยังให้การคุ้มครองที่มีมูลค่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับเงินที่เราออม ช่วยให้เราสามารถเลือกบริการที่ดีที่สุดให้ตัวเองได้ยามเจ็บป่วย ไม่ต้องคำนวณความคุ้มค่าอย่างอื่นเหมือนการใช้เงินออมของเราเอง แต่อาจมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาสำหรับผู้ที่ซื้อหรือทำประกันชีวิต
เงินที่เราจ่ายเป็นค่าเบี้ยประกันถูกนำไปไว้หรือใช้ที่ไหน? ทำไมจึงสามารถให้ความคุ้มครองได้สูง?
เงินในส่วนที่เราซื้อประกันไปนั้น ทางบริษัทจะนำเบี้ยที่ผู้ถือกรมธรรม์ฝากไว้กับบริษัทไปลงทุนกับการลงทุนและนำผลประกอบการจากการลงทุนมาจ่ายคืนให้กับผู้ถือกรมธรรม์ในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินคืน เงินปันผล ความคุ้มครองชีวิต สุขภาพ หรืออุบัติเหตุเป็นต้น
การเลือกทำประกันต้องดูบริษัทด้วยว่า มีความน่าเชื่อถือ และนโยบายการลงทุนอย่างไร
ยกตัวอย่างในกรณีของบริษัท อลิอันซ์ อยุธยา จะนำเงินประกันไปลงทุน 2 รูปแบบด้วยกัน คือ
1.การลงทุนมั่นคง
เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีผลประกอบการที่ค่อนข้างแน่นอน เช่น ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
2.การลงทุนผันผวน
เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากกว่า แต่ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่าเช่นกัน เช่น การลงทุนในหุ้น ซึ่งถือเป็นกลยุทธที่น่าสนใจ เพราะเป็นการลงทุนที่มีความระมัดระวังและขณะเดียวกันก็มีโอกาสสร้างผลกำไรที่ดีเพื่อคืนสู่ลูกค้าได้อีกด้วย ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ผู้เอาประกันก็จะได้เงินคืน หรือผลประโยชน์ความคุ้มครองตามที่ลูกค้าซื้อไว้อย่างแน่นอน
เพื่อทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับการออมเงินและการทำประกันชีวิต สำหรับการออมเงินหลักการสำคัญอาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่เป้าหมาย “ทำอะไร เท่าไหร่ ตอนไหน” หรือการมีวินัยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงไลฟ์สไตล์และแนวคิดในการใช้ชีวิตอีกด้วย ส่วนการทำประกันก็เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในอีกรูปแบบหนึ่ง ทำเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงในเหตุการณ์ที่เราไม่คาดคิดมาก่อน โดยไม่กระทบกับเงินก้อนส่วนตัว
“เงินฝากออมทรัพย์” เหมาะกับผู้ที่มองหาความมั่นคงอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่หากกำลังมองหาอนาคตที่มาพร้อมกับความคุ้มครองความเสี่ยงทั้งตัวเองและครอบครัว “ประกันชีวิต” น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคุณ
no related articles to display.