การซื้อประกันภัย

การซื้อประกันภัย โดยทั่วไป ผู้หาซื้อประกันมักจะพิจารณาจาก ผลประโยชน์และเบี้ยประกันเท่านั้น แต่สินค้าประกันภัยเป็น สินค้าที่จับต้องไม่ได้ เป็นเพียงสัญญา ซึ่งผู้ซื้อยังไม่ได้รับตัวสินค้า (ผลประโยชน์ ) จริงๆ จนกว่าจะเข้าเงื่อนไข การจ่ายเคลม ตอนนั้นจะรุ้ว่า สินค้านั้นดีจริงหรือไม่

หลักการที่ใช้ในการพิจารณา

1. ผลประโยชน์ความคุ้มครอง และ เบี้ยประกัน
2. บริษัทประกันภัย
   – นโยบายบริษัทฯ ต่อลูกค้า ต่อตัวแทน/นายหน้า
   – นโยบายการเคลม
   – ความมั่นคงของบริษัทฯ
   – ประวัติที่ผ่านมาของบริษัทฯ (ตรวจสอบในโลกอินเตอร์เน็ตได้ ว่าผู้คนพูดถึงอย่างไรบ้าง)
3. ตัวแทน/นายหน้า
   – นโยบายการดูแลและบริการ
   – ความน่าเชื่อถือ

ถ้ามีสองบริษัทประกัน A กับ B ให้เลือก หากมีลูกค้าถามว่า “A เงื่อนไขดีกว่าหรือเปล่า?”

ถ้าเทียบเฉพาะผลประโยชน์ความคุ้มครอง และ เบี้ย ก็พอจะเทียบได้ แต่ถูกกว่าไม่ใช่คำตอบเสมอไป มันอาจจะแพงก็ได้ เช่น ในอดีต มีบริษัทประกันภัย ส่วนแบ่งการตลาดประกันภัยรถยนต์ อันดับสองของประเทศแห่งหนึ่ง เบี้ยประกัน ชั้น1 อยู่ที่หมื่นต้นๆ เช่น 11,000 คนก็ซื้อเป็นจำนวนมากเพราะถูก รวมถึงรถแทคซี่ แต่ต่อบริษัทประกันอห่งนี้ก็เจ๊ง ผลคือ เวลาจะเคลมอู่จะอยากรับ หรือ ไม่รับ หรือ รับ แต่ต้องจ่ายค่าซ่อมเองก่อน แล้วไปยื่นทำเรื่องกับบริษัทประกันภายหลัง ปรากฏว่า ลูกค้าที่ซื้อประกันเจ้านี้ก็มีทั้ง เคลมได้บ้างไม่ได้บ้าง บางราย ผ่านไป 3 ปียังเคลมไม่ได้ ต่อมา คปภ ได้เข้าไปให้บริษัทประกันภัยอื่นๆรับลูกค้าไปโดยอาจมีเงื่อนไข
ดูรายละเอียด insurancethai.net/สัมพันธ์ประกันภัย/

นอกจากนี้ การเทียบว่า อันไหนดีกว่าเฉพาะประเด็นดังกล่าว ก็ยังต้องขึ้นกับ

• ความคุ้มครอง ที่ได้รับว่า จำเป็น หรือ ไม่ บางอย่างประกันก็ใส่ๆมาให้ดูเยอะ บางอย่างก็มีโอกาสเสี่ยงต่ำมากๆ
• ความจำเป็นและสถานะความเสี่ยงแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น ประกันบ้าน บางรายมีกระจกบ้านเยอะ ก็อาจซื้อประกันไฟบ้านที่มีประกันกระจะเพิ้ม บางรายอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ก็อาจซื้อแผนที่มีน้ำท่วม ขณะที่บางรายไม่มีความจำเป็นสำหรับความคุ้มครองกรณีดังกล่าวเลย

ประกันที่เคลมไม่ได้ มีปัญหา ให้ฟรีก็ไม่มีประโยชน์
ปัจจัยในการซื้อประกัน ไม่ได้มีแค่ ความคุ้มครองและเบี้ย แต่มีสิ่งที่สำคัญกว่า
เช่น เงื่อนไขการเคลม นโยบายการเคลม การบริการ ความเป็นมิตร ต่อลูกค้า ต่อตัวกลาง ฯลฯ