การมีประกันรถยนต์ กับ ไม่มีประกันประกันรถยนต์ ต่างกันอย่างไร
กรณีรถถูกชน หากเรามีประกัน หรือไม่มีประกัน ผลจะต่างกันอย่างไร
กรณีที่รถยนต์ของเราถูกชน หรือโดนชนโดยรถยนต์คันอื่น แยกเป็น 2 กรณี ดังนี้
1. กรณีที่เรามีประกันรถยนต์
แยกเป็น 2 กรณี ดังนี้
1.1 คู่กรณีมีประกันรถยนต์
เราต้องโทรหาบริษัทประกันของเราเพื่อให้ทางบริษัทมาจัดการเรื่องราวทั้งหมด จ่ายค่าเสียหาย ซ่อมรถให้เหมือนเดิม ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ ซึ่งกรณีนี้ เราจะมีประกันชั้นไหนก็ไม่แตกต่างกัน เนื่องจาก บริษัทประกันจะไปไล่เบี้ย จากคู่กรณีที่เป็นฝ่ายชนเรา อยู่ดี
1.2 คู่กรณีไม่ได้ทำประกันรถยนต์ไว้
เราต้องโทรหาบริษัทประกันของเราเพื่อให้มาจัดการ โดยทางบริษัทจะเจรจากับคู่กรณีแทนเรา และจ่ายค่าเสียหายให้เราไปก่อน จากนั้นบริษัทประกันก็จะไปไล่เบี้ยจากคู่กรณี หรือ ฟ้องร้องกันต่อไป
2. กรณีที่เราไม่มีประกันรถยนต์
กรณีนี้เราสามารถเรียกค่าเสียหายจากคู่กรณีได้
เนื่องจากหากเขาเป็นฝ่ายผิดทำให้เราเกิดความเสียหาย แต่ต้องทำการเรียกร้องเอง ไม่มีบริษัทประกันมาช่วยเจรจา แบ่งเป็น 2 กรณี
2.1 คู่กรณีได้มีการทำประกันรถยนต์
กรณีนี้คงไม่มีปัญหาอะไร จะมีก็แต่อาจจะถูกประกันของคู่กรณีโขกราคาเอาก็ได้ เนื่องจากฝ่ายเราโดยส่วนมากแล้วไม่มีความรู้ด้านการชดใช้สินไหมจากความเสียหายประกันภัย ทางฝ่ายคู่กรณีก็ต้องพยายามรักษาผลประโยชน์ของบริษัท โดยลดต้นทุนการจ่ายสินไหม ฝ่ายเราจึงอาจเสียเปรียบจากเหตุดังกล่าวได้
2.2 คู่กรณีไม่มีประกันรถยนต์
เราสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ จากการเรียกร้องกับคู่กรณีของเรา ซึ่งเราต้องเจรจาเอง หากคู่กรณีไม่ยอม อาจจะว่าเราเป็นฝ่ายผิด หรือยอมรับผิดแต่ไม่มีเงินจ่าย(เอิ๊ก) ทำไงดีละ? หากนิดหน่อยก็ยอมๆกันไป ซ่อมเอง หากเสียหายหนักก็อาจจะแจ้งความเรียกร้องค่าเสีย ซึ่งต้องทำเองทุกอย่าง ค่อนข้างยุ่งยากมาก เสียเวลา
การทำประกันรถยนต์ ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะการคุ้มครองความเสียหายเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในด้านความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว เนื่องจากเสมือนเป็นการจ้างให้มาทำงานให้เรา ไม่ต่างกับการซื้อประกันกับนายหน้า/ตัวเเทน เพราะเราจะมีคนคอยช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกเมื่อมีปัญหา ว่าแต่ …
“วันนี้คุณมีคนคอยช่วยเหลือ ให้ความสะดวก และอยู่เคียงข้างคุณหรือยีง?”