วิธีประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์
วิธีประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์
รถใหม่ ถ้าเป็นรถญี่ปุ่นทั่วไปจะประมาณ 18,000-22,000 บาทต่อปี เบี้ยประกันในแต่ละปีสามารถลดลงได้ด้วยวิธีการต่างๆ
1. ระบุชื่อผู้ขับขี่
เหมาะสำหรับรถยนต์ที่มีผู้ขับขี่ประจำไม่เกิน 2 คน โดยต้องระบุชื่อ และอายุของผู้ขับขี่ เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายในแต่ละปีก็จะลดลงจากราคาปกติ 5-20% ตามช่วงอายุของผู้ขับขี่ที่ระบุ
อายุ 18-24 ปี ส่วนลดเบี้ย 5%
อายุ 25-35 ปี ส่วนลดเบี้ย 10%
อายุ 36-50 ปี ส่วนลดเบี้ย 15%
อายุ 50 ปีขึ้นไป ส่วนลดเบี้ย 20%
กรณีที่ผู้ขับขี่ที่ต้องการระบุชื่อในกรมธรรม์มีอายุอยู่คนละช่วงกัน บริษัทประกันจะให้ส่วนลดเบี้ยประกันเท่ากับส่วนลดของผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด เช่น ระบุชื่อผู้ขับขี่เป็นลูกอายุ 20 ปี และพ่ออายุ 50 ปี ส่วนลดเบี้ยที่ได้รับจะเท่ากับ 5% เป็นต้น
สำหรับครอบครัวที่มีผู้ใช้รถยนต์ตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป อาจไม่เหมาะกับการใช้วิธีระบุชื่อผู้ขับขี่มาลดหย่อนค่าเบี้ยประกัน เพราะในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ แล้วผู้ขับขี่ไม่ได้มีชื่อระบุอยู่ในกรมธรรม์ จะถูกเรียกเก็บค่าความเสียหายส่วนแรกไม่เกิน 6,000 บาท
2. รับความเสี่ยงไว้เองบางส่วน
ด้วยการกำหนดค่าความเสียหายส่วนแรก (Deductible) หรือค่าความเสียหายส่วนที่ผู้ขับขี่จะรับผิดชอบเองเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในแต่ละครั้ง เลือกค่าความเสียหายส่วนแรกได้ตั้งแต่ 1,000-5,000 บาท ต่อการเคลมแต่ละครั้ง เช่น เลือกค่าความเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท ทำให้ได้ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน 5,000 บาท (ส่วนลดเบี้ยประกันอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท) เมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยเราเป็นฝ่ายผิด เราจะต้องจ่ายเงินรับผิดชอบความเสียหายเท่ากับค่าความเสียหายส่วนแรก 5,000 บาท ตามที่ระบุในกรมธรรม์ แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกก็ไม่ต้องจ่าย
เหมาะกับผู้ขับขี่รถที่มีความมั่นใจ มีประสบการณ์ในการขับรถสูง รวมถึงยอมรับความเสี่ยงจากการขับขี่รถยนต์ของตัวเองได้บางส่วน
3. ส่วนลดประวัติดี (ขับรถดี มีส่วนลด)
การใช้รถอย่างระมัดระวัง ไม่มีการเคลมเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา หรือมีการเคลมแต่เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิด จะได้รับส่วนลดเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นปีละขั้น
ขั้นที่ 1 ขับรถดีในปีแรก รับส่วนลด 20% ในปีต่อมา
ขั้นที่ 2 ขับรถดี 2 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 30%
ขั้นที่ 3 ขับรถดี 3 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 40%
ขั้นที่ 4 ขับรถดีติดต่อกันตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป รับส่วนลด 50% และสูงสุดที่ 50%
กรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วเราเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีจะลดลงทีละขั้น เช่น มีส่วนลดประวัติดี 30% แต่ในปีนั้นเกิดอุบัติเหตุและเราเป็นฝ่ายผิด ส่วนลดประวัติดีจะเหลือ 20% เป็นต้น ทั้งนี้ หากเกิดอุบัติเหตุรุนแรง เช่น รถชน ในปีเดียวกันตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไป โดยเราเป็นฝ่ายผิด และมีค่าซ่อมสูงกว่าเบี้ยประกันรวม 2 ครั้งที่จ่ายไปเกิน 200% ก็จะถูกลดส่วนลดเบี้ยประกันลงทีเดียว 2 ขั้น
4. ลดทุนประกัน
หากมองว่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายแต่ละปีสูงเกินไป ก็สามารถปรับลดทุนประกัน เพื่อจ่ายเบี้ยประกันลดลง แต่ก็ต้องยอมรับความคุ้มครองที่ลดลงด้วย เพราะหากเป็นการจ่ายเบี้ยประกันตามปกติ เมื่อเกิดความเสียหายหนัก ๆ เช่น รถชน ไฟไหม้ สูญหาย บริษัทประกันจะชดเชยค่าเสียหายให้ประมาณ 70-80% ของมูลค่ารถ ณ วันทำประกัน ในขณะที่การขอลดทุนประกัน เมื่อเกิดความเสียหายรุนแรงขึ้นกับรถ บริษัทจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามสัดส่วนของทุนประกันที่ทำไว้ ซึ่งอาจไม่เพียงพอกับความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ได้
5. ลดความคุ้มครอง
ข้อดีของการทำประกันชั้น 1 คือได้รับความคุ้มครองจากอุบัติเหตุอย่างครบถ้วน แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ ค่าเบี้ยประกันที่สูงกว่าประกันรถชั้นอื่น ๆ สำหรับผู้ที่มองว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องมีความคุ้มครองอย่างครบถ้วน หรือยอมรับความเสี่ยงได้บางส่วน อาจเลือกทำประกันรถชั้น 2+ หรือ 3+ ซึ่งค่าเบี้ยประกันถูกกว่าประกันชั้น 1 เกือบครึ่งหนึ่ง โดยประกันทั้ง 2 ประเภทนี้จะให้ความคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเหมือนกับประกันชั้น 1 แต่ให้ความคุ้มครองรถของผู้เอาประกันในกรณีที่ชนกับยานพาหนะทางบกเท่านั้น สำหรับความแตกต่างระหว่างประกันชั้น 2+ และ 3+ คือ ประกัน 2+ จะให้ความคุ้มครองรถของผู้เอาประกันในกรณีสูญหาย และไฟไหม้ด้วย
แม้จะทำให้ค่าเบี้ยประกันในแต่ละปีลดลง แต่บางวิธีก็มีเงื่อนไขที่ให้ความคุ้มครองไม่เหมือนกับการซื้อประกันชั้น 1 แบบปกติ เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อความคุ้มครองรถ จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมนอกเหนือจากการประหยัดค่าเบี้ยประกันด้วย