ประเภทความคุ้มครอง และจำนวนเงินจำกัดความรับผิดพื้นฐาน ประกันรถยนต์
สรุป…
ความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันรถยนต์ มีทั้งหมด 4 หมวด
1.ชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
(Third Party Bodily Injury: TPBI)2.ทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
(Third Party Property Damage: TPPD)3.ความเสียหายของตัวรถยนต์ (คันเอาประกัน)
(Own Damage: OD)4.ความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์ (คันเอาประกัน)
(Fire and Theft: F&T)
ประเภทความคุ้มครองและจำนวนเงินจำกัดความรับผิดพื้นฐาน
ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์มี 4 ประเภท แต่ละประเภทมีจำนวนเงินจำกัดความรับผิดพื้นฐาน ดังนี้
1. ความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของบุคคลภายนอก
(Third Party Bodily Injury: TPBI)
หมายถึง ความรับผิดต่อ
– ความบาดเจ็บของบุคคลภายนอก
– มรณะของบุคคลภายนอก
– ความบาดเจ็บหรือมรณะของผู้โดยสารในรถคันเอาประกันภัย
โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัย จำนวน 100,000 บาทต่อหนึ่งคน และ 10,000,000 บาทต่อหนึ่งครั้ง ทั้งนี้ จำนวนเงินจำกัดความรับผิดนี้ถือเป็นส่วนเกินจากความคุ้มครองตามกรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
2. ความคุ้มครองความรับผิดต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
(Third Party Property Damage: TPPD)
หมายถึง ความรับผิดต่อความเสียหายใดๆอันเกิดแก่
– ทรัพย์สินของบุคคลภายนอก
โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัย จำนวน 200,000 บาทต่อหนึ่งครั้ง
3. ความคุ้มครองความรับผิดต่อความเสียหายของตัวรถยนต์
(Own Damage: OD)
หมายถึง ความคุ้มครองความเสียหายของ
– ตัวรถยนต์คันเอาประกันภัย
– อุปกรณ์
– ส่วนควบ
โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัย จำนวน 50,000 บาท (รถจักรยานยนต์ 5,000 บาท)
ทั้งนี้ การรับประกันภัยตัวรถยนต์ไม่ควรรับประกันภัยในจำนวนเงินจำกัดความรับผิดต่ำกว่า 80% ของราคารถยนต์ ในวันเริ่มการประกันภัย เว้นแต่รถยนต์ที่ไม่มีการเสียภาษีขาเข้า
4. ความคุ้มครองความรับผิดต่อความสูญหายและไฟไหม้ของตัวรถยนต์
(Fire and Theft: F&T)
หมายถึง ความคุ้มครองความเสียหายต่อตัวรถคันเอาประกันภัยที่
– ถูกไฟไหม้
– การสูญหาย
– ความเสียหายอันเนื่องมาจากการสูญหาย รวมทั้งอุปกรณ์ เครื่องตกแต่ง หรือสิ่งที่ติดประจำอยู่กับตัวรถยนต์เกิดไฟไหม้หรือสูญหายไป
โดยมีจำนวนเงินขั้นต่ำที่บริษัทต้องรับประกันภัยจำนวน 50,000 บาท (รถ จักรยานยนต์ 5,000 บาท)
จำนวนเงินจำกัดความรับผิดสามารถเพิ่มให้สูงกว่าพื้นฐานได้ โดยเพิ่มเบี้ยประกันภัยตามอัตราเบี้ย ประกันภัยเพิ่มตามความเสี่ยงภัย และอัตราเบี้ยประกันภัยเพิ่มความคุ้มครองตามที่ได้ระบุไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ฯ
ซึ่งจะคุ้มครองหมวดไหน เท่าไร ขึ้นอยู่กับ ประเภทของประกันรถยนต์ที่ซื้อ เช่น ประกันรถยนต์ประเภท1 2 2+ 3 3+ ฯลฯ
ดังนั้นเมื่อต้องซื้อประกันรถยนต์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ประเภทประกันรถยนต์ที่ซื้อนั้น คุ้มครองหมวดหมู่ที่ตรงกับสิ่งที่ต้องการหรือไม่? และ วงเงินพอไหม? ซึ่งมีความแตกต่างกันไปตามแผนประกันอีกด้วย