ประมาทเลินเล่อประกันไม่ คุ้มครองจริงหรือ?
เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถยนต์เฉี่ยวชนและต้องเคลมประกันภัย
โดยเฉพาะมือใหม่จากนโยบายรถยนต์คันแรกบรรดาบริษัทประกันภัยต่างตาหน้าออกมาสารภาพอย่างหน้าชื่นอกดรมาว่า ทำให้สถิติการเคลมสินไหมประกันภัยพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว จึงส่งผลให้หลายบริษัทต้องจัดกระบวนทัพรับมือผู้เอาประกันภัยกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ
นัยว่าบางบริษัทถึงขนาดอบรมพนักงานเคลม เพื่อให้บริการบรรดามือใหม่ป้ายแดงโดยตรง โดยตั้งสมมติฐานว่าพนักงานเคลมที่ไปให้บริการนั้น ต้องแจกแจงให้ผู้เอาประกันภัยเข้าใจอย่างละเอียดยิบว่า แต่ละขั้นตอนในการเคลมประกันภัยผู้เอาประกันภัยควรทำอย่างไร
เพราะถ้าปล่อยให้หลงทางหลงประเด็นเข้าใจผิดประการใดขึ้นมา ผู้ที่เสียหายย่อมเป็นบริษัทประกันภัย เพราะภาพลักษณะจะเสียหายย่อยยับ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏสังคมได้รับรู้เพียงแค่เสี้ยววินาทีด้วยข้อความสั้น…เข้าใจผิด
พฤติกรรมของพนักงานเคลมที่ถูกชิพฝังหัวเอาไว้ ทำหน้าที่แค่ไปให้ถึงผู้เอาประกันภัย ณ จุดเกิดเหตุให้เร็วที่สุด และเก็บรายละเอียดให้มากที่สุดเท่านั้นเอง ส่วนหลังจากให้ใบเคลมต่อผู้เอาประกันภัยแล้ว ก็คงปล่อยให้ผู้เอาประกันภัยงง โทรฯทวงถามบริษัทโดยตรง เอาเองว่าจะทำอย่างไรต่อ!
อย่างเช่นกรณีรถปิกอัพอเนกประสงค์ของเจ้าของรีสอร์ตแห่งหนึ่งได้ไปแจ้งเคลมเอาไว้ว่าฝาท้ายรถยนต์เสียหาย ปรากฏว่ามาเร็วเคลมเร็วอย่างที่โฆษณาเอาไว้ ถ่ายรูปจดรายละเอียดเสร็จส่งใบเคลมให้แล้วหายไป
กว่า 3 เดือนแล้วเจ้าของรีสอร์ตรายนั้นยังงง ๆ อยู่เลยว่าจะทำอย่างไรต่อ จนในที่สุดก็ทราบว่า บริษัทประกันภัยไม่อนุมัติเคลม อ้างว่าเกิดจากความประมาทของผู้เอาประกันภัยเอง
มาตรา 879 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในวรรคแรกบัญญัติไว้ว่า ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดในเมื่อความวินาศภัยหรือเหตุอื่นซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้น เพราะความทุจริตหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์
การที่ฝาท้ายรถยนต์ยุบ โดยลักษณะการยุบเด้งจากด้านในไปด้านนอก ฝ่ายประเมินความเสียหายของบริษัทประกันภัย ย่อมคาดการณ์ได้ว่าต้องเกิดจากการกระทำของเจ้าของรถยนต์หรือลูกจ้าง เช่น ทำของหนักหล่นใส่, บรรทุกของที่หนักเกินกว่าฝาท้ายรถจะรับได้ ไม่น่าใช่จากการถูกรถยนต์คันอื่นชน เพราะถ้ารถชนลักษณะของความเสียหาย อาการยุบจะต้องเด้งจากนอกไปด้านใน
ในภายหลังผู้เอาประกันภัยเจ้าของรีสอร์ตยอมรับว่าได้นำรถไปบรรทุกเสาเข็มและหล่นใส่ฝากระบะท้ายอย่างแรง
ดังนั้นประเด็นที่จะต้องถกเถียงกันต่อไปว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือเกิดจากอุบัติเหตุในการขนย้ายวัสดุ
คุณอำนวย สุภเวทย์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายประกันภัยได้ดีความถึงความประมาทเลินเล่อไว้ว่า
ความประมาทเลินเล่อ มี 2 ระดับ คือ
1.ความประมาทเลินเล่อไม่ถึงกับประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
2.ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ประมาทเลินเล่อ คือ การกทำที่ปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมี ตามวิสัยหรือพฤติการณ์ ส่วนความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเป็นการกระทำที่เบี่ยงเบนไปจากมาตรฐานอย่างมาก เช่น คาดเห็นได้ว่าความเสียหายนั้นอาจเกิดขึ้นได้ หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากใช้ความระมัดระวังสักเพียงเล็กน้อย ก็คงคาดเห็นได้ว่าอาจเกิดความเสียหายเช่นนั้นขึ้น
มีสุภาษิตกฎหมายบทหนึ่งว่า เลินเล่ออย่างร้ายแรง มีผลเท่ากับจงใจกระทำความผิด (Gross negligent is held equivalent to intentional wrong)
ถ้าว่าตามการตีความดังกล่าวนี้ ผู้เอาประกันภัย คงต้องจ่ายค่าซ่อมเอง เพราะเข้าข่ายประมาทเลินเล่ออย่าร้ายแรง รู้ว่าการใช้รถไปขนย้ายเสาเข็มที่มีความหนัก ย่อมที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวรถยนต์แน่นอน
ถ้าเอาคำพิพากษาฏีกามาเทียบเคียงก็จะพบความจริงของกฎหมายข้อหนึ่งว่า ข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามมาตรา 879 ต้องเกิดเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับผลประโยชน์เท่านั้น
บุคคลผู้ถือเสมือนหนึ่งผู้เอาประกันภัย เช่น ผู้ขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้รับประกันภัย ดังเช่นในกรณีตามคำพิพากษาฎีกาต่อไปนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่เข้าข่ายยกเว้นความผิดของผู้รับประกันภัย เพราะมีสุภาษิตกฎหมายกล่าวไว้ว่า “ข้อยกเว้นต้องตีความโดยเคร่งครัด”
คำพิพากษาฎีกาที่ 1720/2639 มาตรา 879 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นบทบัญญัติยกเว้นความรับผิดของผู้เอาประกันภัย จึงต้องดีความโดยเคร่งครัด ตามมาตราดังกล่าว ผู้รับประกันภัยจะหลุดพ้นความรับผิดเมื่อความเสียหายนั้นเกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้เอาประกันภัยหรือของผู้รับประโยชน์ เท่านั้น การที่บุตรของผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ขับรถไปเกิดอุบัติเหตุ วินาศภัยที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เกิดจากการกระทำของผู้เอาประกันภัย บริษัทจำเลย จึงไม่พ้นความรับผิด
บุตรในคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวมันย่อมไม่แตกต่างไป กว่าลูกจ้างของผู้เอาประกันรายนี้ ทำไปทำมาบริษัทประกันภัยต้องจ่ายค่าสินไหม
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะบริษัทประกันภัยยึดหลักสุจริตใจ เชื่อว่าผู้เอาประกันภัยย่อมไม่ตั้งใจให้เกิดความเสียหาย ประกอบกับค่าซ่อมไม่สูงมากนัก เอาใจลูกค้าเพื่อได้ต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยในปีต่อไปกันดีกว่า จึงหยวนไม่ต้องมาดีความตามตัวบทกฎหมาย
เพียงแต่ขอความกรุณาให้ผู้เอาประกันภัยทำจดหมายขออนุโลมไม่ให้นำเอาเงื่อนไขยกเว้นมาบังคับใช้ โดยเหตุที่ต้องทำจดหมายนั้นไม่ใช่ต้องทำตามกฎหมายบังคับอะไร เพียงแต่เป็นสิ่งการันตีว่าผู้จัดการสินไหมทดแทนนั้น ๆ ได้ดำเนินการถูกต้องแล้ว แต่ต้องยกเว้นให้เพราะมองประโยชน์ในด้านการตลาดเป็นหลัก
เรื่องของการประมาทเลินเล่อจึงเป็นสาระสำคัญประการแรกที่ผู้เอาประกันภัยจำต้องรู้เชิงเอาไว้ให้มั่น เพราะเป็นข้ออ้างยอดฮิตที่เจ้าหน้าที่สินไหมทดแทนมักจะหยิบยกมาอ้าง ไม่เบี้ยว แต่ไม่จ่ายเพราะลูกค้าประมาทเอง
เราจึงต้องมีเชิงได้กลับเอาไว้ก่อน ฉันประมาทตรงไหน !
เจอลูกนี้เข้ารับประกันซ่อมฟรีคงต้องเจรจากันหลายยก และในที่สุดบริษัทประกันภัยคงต้องหยวน ๆ ให้ เพราะบริษัทประกันภัยยุคนี้ยืดหลัก “ค้าขายดีกว่าค้าความ”