ประกันชีวิตเท่าไร จึงจะเพียงพอ
ประกันชีวิตเท่าไร จึงจะเพียงพอ
คนทั่วไปมักเข้าใจว่า การประกันชีวิตเป็นการประกันความคงอยู่ของชีวิต คือ หากสิ้นลมหายใจ ก็จะได้รับสินไหมทดแทน แต่ในทางวิชาการ การประกันชีวิตเป็นการประกันคุณค่าทางเศรษฐกิจของบุคคล โดยดูที่ความสามารถในการสร้างรายได้ว่า ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ต่อไป จะสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวหรือองค์กรได้อีกเท่าไร แล้วจึงนำมูลค่าตรงนั้นมากำหนดเป็นวงเงินคุ้มครอง
อย่างไรก็ตามนั่นเป็นการมองในแง่อุดมคติ ยังมีการมองในแง่มุมอื่นเช่นว่า ถ้าเขาจากไป ทำอย่างไรให้ครอบครัวของเขาเดือดร้อนน้อยที่สุด โดยนำทุนประกันชีวิตที่ได้ไปชดเชยหรือรองรับภาระที่จะเกิดขึ้นทั้งใน ปัจจุบันและในอนาคต
ประกันชีวิตเท่าไรถึงจะพอ
ปัจจุบันมีแนวคิดในการคำนวณทุนประกันที่เหมาะสมอยู่ 2 แนวทาง คือ ตามศักยภาพของบุคคล หรือตามภาระที่บุคคลพึงรับผิดชอบ โดยรายละเอียดในแนวคิดเหล่านั้นเป็นดังนี้
1. คำนวณตามศักยภาพ ( Potential Base )
ถึงแม้มูลค่าที่แท้จริงของบุคคล คือ จำนวนรายได้ทั้งหมดที่คาดว่าเขาจะทำขึ้นมาได้ในช่วงชีวิตที่เหลือ หรือจนกว่าจะเกษียณอายุ แต่วงเงินที่คำนวณได้มักจะสูงเกินกว่าที่เราจะจ่ายเพื่อทำประกันได้ โดยเฉพาะคนที่เริ่มต้นทำงานใหม่ๆ
ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริง จึงมีการกำหนดว่า บุคคลควรมีวงเงินประกันเท่ากับ 5 เท่าของรายได้ต่อปี เช่น นาย ก. มีเงินเดือนๆละ 50,000 บาทและได้รับโบนัสตอนสิ้นปีอีก 2 เดือน รวมทั้งปีมีรายได้เท่ากับ 700,000 บาท ดังนั้น ทุนประกันที่เหมาะสมจะเท่ากับ 700,000X 5 = 3.5 ล้าน
สำหรับเหตุผลที่กำหนดให้มีวงเงินประกันเป็น 5 เท่าของรายได้ต่อปีนั้น เพราะว่าเวลา 5 ปี เป็นช่วงเวลาที่พอสมควร ที่คนในครอบครัวจะได้ปรับตัว แม่บ้านที่หยุดทำงานมานาน หากต้องออกมาทำงานใหม่ ก็พอมีเวลาหางานและฝึกทักษะการทำงานอีกครั้ง หรือ หาธุรกิจใหม่ทำ
บางตำราบอกว่า ควรให้เวลาครอบครัวปรับตัวถึง 7 ปี แต่รายได้ที่นำมาคำนวณนั้นควรจะคิดเพียง 70% ของรายได้ต่อปี เพราะในช่วงที่ผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่นั้น รายได้ส่วนหนึ่งต้องนำไปจ่ายภาษีและค่าใช้จ่ายส่วนตัว เหลือเงินรายได้ให้ครอบครัวเพียง 70%
ดังนั้นเมื่อเขาไม่อยู่ ก็ให้ใช้ตัวเลขเพียง 70%ของรายได้ในการคำนวณ แต่เมื่อคำนวณออกมาเป็นวงเงินประกันจะได้เท่ากับ 70%X 7 = 490% ของรายได้ต่อปี ซึ่งจะใกล้เคียงกับ 5 เท่าของรายได้ต่อปี
2. คำนวนตามภาระค่าใช้จ่าย ( Need Base )
เป็นการ คำนวณจาก ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เช่น หากสูญเสียรายได้ไป คนข้างหลังยังต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนใด อะไรบ้าง
เช่น
(ภาระ)
– ค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัว
– หนี้สินต่างๆ
– ค่าเรียนของเด็กๆ
– ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่
– ค่าฌาปนกิจ
– ค่าภาษี
ฯลฯ
วงเงินประกันที่ต้องการ = จำนวนเงินที่ยังขาดหลังจากการนำทรัพย์สินที่มีอยู่ไปหักจากภาระค่าใช้จ่าย
ทุนประกัน = ภาระ – สินทรัพย์ที่มีอยู่
ขณะที่ทรัพย์สินที่บางคนอาจมีเตรียมไว้แล้ว เช่น
1. ทุนประกันที่เรามีอยู่แล้ว
2. สินทรัพย์สภาพคล่องที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้หลังเราเสียชีวิต
3. กองทุนต่างๆหรือเงินทดแทนที่บริษัทของเราจ่ายให้เมื่อเสียชีวิต
สรุปใหม่
วงเงินประกันชีวิตที่ต้องทำเพิ่ม = รายจ่าย + หนี้สิน + ทุนการศึกษาลูก + ค่าทำศพ – วงเงินประกันชีวิตที่มีอยู่ – สินทรัพย์สภาพคล่องสูง – เงินกองทุนจากบริษัทนายจ้างกรณีเรามีทุนประกัน หรือสินทรัพย์รวมกันมากกว่าภาระที่จะเกิดขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องทำประกันเพิ่ม เว้นแต่ว่าเรายังต้องการมากกว่านั้น