Keyman insurance คุ้มค่าในการทำไหม?
หากตัวแทนประกันชีวิตเสนอให้ทำประกัน Keyman เพื่อประโยชน์ในการบริหารภาษี ต่อ เจ้าของกิจการ เจ้าของธุรกิจ หรือผู้บริหารนิติบุคคล อย่างใน ระดับ SMEs
สิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาว่าซื้อดีหรือไม่ ให้เทียบกับการซื้อประกันชีวิตสามัญหรือบุคคลว่า แบบไหนคุ้มค่ากว่า ซึ่งได้ข้อสรุปว่า อัตราภาษีของบุคคลธรรมดาต้องไม่ถึง 20% หากถึง 20% หรือเกินจากนี้ก็ไม่คุ้มค่าที่จะทำ
ประกัน Keyman คือ การทำประกันชีวิตให้กับบุคคลสำคัญของบริษัท โดยบุคคลสำคัญเป็นผู้เอาประกัน และบริษัทเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกัน บุคคลที่บริษัททำประกัน Keyman ให้ ต้องอยู่ในตำแหน่งงานที่มีความสำคัญกับบริษัท เช่น กรรมการ ผู้บริหารระดับสูง โดยทำประกันชีวิตได้ทุกรูปแบบ คือ แบบชั่วระยะเวลา แบบตลอดชีพ แบบสะสมทรัพย์ และแบบบำนาญ
ประโยชน์ทางภาษีของประกัน Keyman
- เบี้ยประกันชีวิตที่บริษัทจ่ายแทนบุคคลสำคัญทุกคนเป็นการทั่วไปตามระเบียบสวัสดิการพนักงานของบริษัท สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี(3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายภาษีที่ว่าสวัสดิการพนักงานจะเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทได้ก็ต่อเมื่อ
เป็นสวัสดิการที่ให้แก่พนักงานทุกคนในระดับเดียวกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ
มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนในระเบียบของกิจการ - เบี้ยประกันชีวิตที่บุคคลสำคัญเป็นผู้เอาประกันสามารถนำมาเพื่อใช้สิทธิในการหักลดหย่อนภาษีเงินได้ ตามมาตรา 48(1), 47(1)(ง), และมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร
- ผู้รับประโยชน์จากกรมธรรม์
กรณีบริษัทเป็นผู้รับประโยชน์ ผลประโยชน์ที่บริษัทได้รับตามกรมธรรม์ ต้องบันทึกบัญชีเป็นรายได้ในการคำนวณภาษีกำไรสุทธิตามมาตรา 65 แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบุคคลสำคัญเป็นผู้รับประโยชน์ ผลประโยชน์ที่บุคคลสำคัญได้รับตามกรมธรรม์เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีตามมาตรา 42 (13) แห่งประมวลรัษฎากร - เบี้ยประกันชีวิตที่บริษัทจ่ายแทนพนักงาน และผลประโยชน์ที่พนักงานจะได้รับจากบริษัท เข้าลักษณะเป็นประโยชน์ใดๆ ที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร ทำให้แม้ประกัน Keyman จะมีประโยชน์ในการเป็นค่าใช้จ่ายของนิติบุคคล แต่กลับทำให้พนักงานมีภาระต้องเสียภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น
การบริหารภาษีด้วยประกัน Keyman โดยเฉพาะกรณีบุคคลสำคัญ คือ เจ้าของนิติบุคคล เงินของนิติบุคคลหรือเงินของตนเองจึงเป็นเงินก้อนเดียวกันเพียงแต่อยู่คนละบัญชี ดังนั้นการตัดสินใจทำประกัน Keyman หรือไม่ ต้องพิจารณาความคุ้มค่าระหว่างภาษีที่นิติบุคคลประหยัดได้ กับภาษีที่บุคคลสำคัญต้องเสียเพิ่ม ถ้าภาษีที่บุคคลธรรมดาต้องเสียเพิ่มสูงกว่าภาษีที่นิติบุคคลประหยัดได้ ก็ไม่คุ้มค่าที่จะทำ
การพิจารณาจุดคุ้มค่า
ถ้าทำประกัน Keyman
หากอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดที่บุคคลสำคัญต้องจ่ายเท่ากับหรือมากกว่า 20% ก็ไม่ควรทำประกัน Keyman เพราะจะไม่ได้รับประโยชน์ด้านภาษีเลย แถมอาจทำให้เสียภาษีเพิ่ม
หากพิจารณาการบริหารภาษีนิติบุคคลด้วยการสร้างค่าใช้จ่ายสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การจ่ายโบนัสให้บุคคลสำคัญ ซึ่งไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องให้ทุกคน ไม่มีภาระผูกพันต้องให้ทุกปี ดูแล้วน่าสนใจกว่าเมื่อเทียบกับการทำประกัน Keyman ซึ่งยุ่งยาก มีรายละเอียดและเงื่อนไขในการทำมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้องทำประกันให้บุคคลสำคัญทุกคนเท่าเทียมกันแล้ว ยังต้องระบุในระเบียบของกิจการ และยังเป็นการสร้างภาระในระยะยาวให้กับนิติบุคคลอีกด้วย หากต่อมานิติบุคคลมีรายได้ลดลง/ขาดทุน ก็ยังคงต้องจ่ายเบี้ยประกัน Keyman ต่อไปโดยไม่ได้ประโยชน์ด้านภาษีเลย
ก่อนหน้านี้ ประกัน keyman มีประโยชน์ด้านภาษี แต่ปัจจุบันกฏหมายด้านภาษีมีการปรับเปลี่ยน ทั้งบุคคลและนิติบุคคล ซึ่งสรุปได้ว่า หากบุคคลมีฐานภาษี >=20% ก็ไม่คุ้มค่าจะทำ keyman insurance
งบการเงิน | บริษัทไม่ได้ทำ keyman | บริษัททำ keyman |
รายได้รวม | 10,000,000 | 10,000,000 |
รายจ่ายรวม | 8,000,000 | 8,000,000 |
เบี้ย keyman | 0 | 1,000,000 |
กำไรก่อนหักภาษี | 2,000,000 | 1,000,000 |
ภาษีนิติบุคคล 20% | 400,000 | 200,000 |
ประหยัดภาษีได้ | 0 | 200,000 |
(จ่ายเบี้ย 1,000,000 ประโยชน์ด้านประกันที่ได้คือ ความคุ้มครอง และ เงินสะสมหากเป็นแบบสะสมทรัพย์ บางบริษัทอาจไม่มีแบบประกัน keyman โดยเฉพาะ แต่ที่จะได้เป็นเงินมาแน่ๆ คือ ส่วนลดที่ประหยัดได้ 200,000 แต่ต้องแน่ใจว่า เงินจำนวน 1,000,000 บาทนี้ที่ถือเป็นรายได้ของ ผู้บริหาร จะต้องไม่ทำให้จ่ายภาษีเพิ่มเกินกว่า 200,000 ซึ่งต้องดูฐานภาษีของ ผู้บริหาร ว่าปัจจุบันจ่ายอยู่เรทเท่าไรนั่นเอง )
แต่ .. เบี้ยประกันที่จ่ายให้กับผู้บริหาร ถือเป็นรายได้บุคคลด้วย ดังนั้น จึงต้องดูว่า แต่ละบุคคลมีฐานภาษีเท่าไร
ถ้าผู้บริหารสองคนมี รายได้ปีละ 1,000,000 เสียภาษี 20% 1,000,001 ขึ้นไปเสียภาษี 25% ดังนั้น ถ้าผู้บริหารมีสองคน ที่นิติบุคคลจ่ายให้ แต่ละคนจะมีรายได้ รวม 1,500,000 จะต้องเสียภาษีเพิ่ม คนละ 500,000*25% = 125,000 บาท สองคนจะต้องเสียภาษี รวม 250,000 ซึ่งเกินกว่า ที่นิติบุคคล ประหยัดได้ (200,000) เป็นจำนวนถึง -50,000 จึงไม่คุ้มค่าที่จะทำ