การดูแลรักษาสีรถ
การดูแลรักษาสีรถ
รักษาสีรถให้สวยสดใส
โดยธรรมชาติของสารเคมีที่นำมาประกอบเป็นสีนั้นจะสามารถต้านทานและคงทนต่อสภาพแวดล้อมหรือ ความผันแปรของภูมิอากาศได้ดีในระดับหนึ่งเท่านั้น หากการบำรุงไม่ดีพอ หรือไม่ถูกวิธีแต่จะทำให้รถ เสียเร็วยิ่งขี้น ข้อควรระวังเพื่อการรักษาสีรถมีดังนี้
1.ไม่ควรจอดรถไว้ใกล้ๆ กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมา เช่น โรงงานผลิต อาหารสัตว์ โรงงานผลิตสารเคมี เพราะฝุ่นละอองจากอาหารสัตว์หรือสารเคมี ที่ปลิวมาติดผิวสีของ รถอาจจะเป็นกรดหรือด่างเข้มข้นสามารถกัดสีให้เป็นจุดเป็นดวงได้หรือทำให้สีอ่อนตัวลงได้
2.ควรพยายามจอดรถในที่ร่มหรือที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก พื้นไม่อับชื้น หากจำเป็นต้องจอดกลางแดด ควรใช้ผ้าคลุมกันแดดไว้
3.เมื่อขับรถผ่านบริเวณที่มีฝุ่น โคลน หรือ ชายทะเลเป็นเวลานานๆ ควรล้างฝุ่น โคลนหรือคราบต่างๆ ออกให้หมดเพราะคราบเหล่านี้ สามารถดูดความชื้นได้ดี จึงทำให้ฝิวสีเสื่อมคุณภาพได้ง่าย และ บาง ครั้งสิ่งสกปรก ที่เกาะติดผิวสีรถ ก็เป็นสารเคมีที่ทำอันตรายต่อสีรถด้วย
4.อย่าทำให้รถเกิดรอยขีดข่วนหรือหลุดร่อนเพราะจะทำให้ตัวรถผุและจะลามออกเป็นบริเวณกว้างทั้งนี้ เพราะรอยขีดข่วนจะไม่สามารถป้องกันความชื้นให้กับผิวโลหะได้
5.หากมีคราบน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ เปื้อนผิวสี ต้องรีบล้างออกทันที โดยใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด หรือ ผสม สบู่อ่อนๆ หรือ แชมพูสำหรับล้างรถก็ได้ ห้ามใช้ทินเนอร์ น้ำมัน หรือ สารเคมีใดๆ ทำความสะอาดสีรถ โดยเด็ดขาด สารเคมีที่มีโอกาสจะถูกสีรถได้ง่ายก็คือ น้ำมันเบรกซึ่งจะกัดสีในทันทีที่สัมผัสกับสีรถ การใช้ จึงต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และ น้ำหอมประจำรถก็ฒีผลต่อสีรถ เช่นกัน หากหกเลอะรถควรรีบใช้ผ้านุ่มที่สะอาดเช็ดออกโดยเร็วและล้างด้วยน้ำ
ลบคราบสติ๊กเกอร์บนสีรถ
รอยคราบที่เกิดจากการแกะสติ๊กเกอร์ที่อยู่บนผิวสีรถออกนั้น สามารถแก้ไขได้โดยใช้ยาขัด Extra100 แล้ว ลงแว๊กซ์อ่อนอีกครั้ง ถ้าสีบริเวณที่ลอกสติ๊กเกอร์ออกนั้น แตกต่างกับผิวสีเดิมมาก ให้ใช้กระดาษทรายเบอร์ 1200 ขัดบนพื้นผิวบริเวณนั้นก่อนแล้วลงแว๊กซ์อีกครั้ง แต่หากไม่แน่ใจที่จะลงมือแก้ไขเอง ควรนำรถเข้า ศูนย์บริการ ให้ช่างผู้ชำนาญทำ
แก้ปัญหารถสีด้าน
รถสีด้านเกิดจากการนำรถตากแดดไว้บ่อยๆ หรือใช้งานรถมาเป็นเวลานานาโดยขาดการดูแล รักษา วิธีดีที่สุดสำหรับการแก้ไขสีรถด้านคือ เจ้าของควรจะนำรถเข้าทำสีใหม่ เพื่อให้สีมีความ คงทน แต่ถ้าไม่ต้องการทำสีใหม่ให้ใช้แว๊กซ์ ขัดพื้นผิวบริเวณนั้น โดยต้องเลือกใช้แว๊กซ์ให้ถูก กับประเภทงาน การใช้แว๊กซ์ขัดจะช่วยได้เพียงแค่การชลอการเสื่อมสภาพของสีเท่านั้น ไม่ สามารถทำให้ผิวสีกลับสู่สภาพเดิมได้ นอกจากนี้การล้างรถก็มีส่วนทำให้รถด้านด้วย เช่นกัน จึงไม่ควรล้างรถ ในช่วงที่เพิ่งใช้งานเสร็จ หรือ ขณะที่พื้นผิวของรถยังร้อนอยู่ เด็ดขาด
สีที่ซ่อมใหม่กับสีเดิมไม่เหมือนกัน
โดยทั่วไปแล้วงานซ่อมสีโดยเฉพาะสีเมทัลลิก (สีที่มีสีบรอนช์ผสม) การซ่อมสีใหม่ให้เหมือนเดิม 100% เป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความซีดของสีเดิม แรงดันลมขณะ พ่นสี อุณหภูมิของอากาศ ซึ่งจะมีผลกระทบ ต่อการแห้งตัวของสี และ ขนาดของหัวปืนพ่นสี เป็นต้น ฉะนั้นหากซ่อมสีใหม่แล้ว สีที่ได้กลมเกลือน หรือ ใกล้เคียงกับสีเดิมถึง 95% โดยที่มีเวลา ผ่านไป สีที่พ่นใหม่ไม่ต่างจากสีเดิมมากนัก ก็นับว่าเป็นงานซ่อมสีที่ดีเยี่ยมแล้ว แต่ถ้าสีที่ซ่อมใหม่ แตกต่างจากสีเดิม มากจนเห็นได้ชัดก็ แสดงว่าการผสมสีและการพ่นของช่างซ่อมสี ยังไม่ประณีต เท่าที่ควร ซึ่งควรจะนำเข้าแก้ไขสีใหม่อีกครั้ง
ข้อสำคัญรถต้องสะอาดอยู่เสมอ
การทำความสะอาดรถเป็นเรื่องที่เจ้าของรถควรให้ความเอาใจใส่เป็นประจำ เพราะจะเป็นผลดีต่อ สีรถด้วย วิธีทำความสะอาดความเริ่มจากการใช้ไม้ขนไก่ หรือ ถ้าผ้าแห้งนุ่มๆ ปัดหรือเช็ดฝุ่นออก เบาๆ และ ผ้าที่ใช้จะต้องไม่มีความหยาบ หรือ มีของแข็งใดๆ ติดอยู่ หากปัดหรือเช็ดแล้วยังไม่ สะอาดพอให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก ไม่ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดอย่างรุนแรง เพราะอาจเกิดรอยขีดข่วนบน รถ การล้างต้องใช้น้ำสะอาด และ จะต้องล้างให้สะอาดด้วย หากสามารถทำได้ควรฉีดน้ำล้างดิน โคลน หรือสิ่งสกปรกต่างๆ ใต้ท้องรถให้สะอาดทุกส่วนด้วย โดยปฏิบัติดังนี้
• ควรล้างบริเวณใต้ท้องรถและล้อก่อนโดยใช้แปรงอ่อนๆ ขัดขณะฉีดน้ำล้าง หรือจะใช้น้ำผสม สบู่ล้างครั้งหนึ่งก่อนแล้วล้างซ้ำด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง
• ล้างจากส่วนบนสุดของรถลงมา ไม่ควรใช้แปรงขัดเป็นอันขาด ให้ใช้ผ้านุ่มๆ ฟองน้ำหรือ หนังชามัวส์เท่านั้น เพราะอาจทำให้สีถลอกได้
• คราบสกปรกที่น้ำธรรมดาล้างไม่ออก ให้ใช้น้ำสบู่ล้างไม่ควรใช้ผงซักฟอกล้างรถ เมื่อคราบสกปรก ออกหมดแล้ว ให้ใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำอีกครั้ง
• หลังจากล้างน้ำแล้ว ต้องเช็ดให้แห้งทันที การปล่อยให้น้ำแห้งเองจะเกิดเป็นคราบน้ำเป็นดวงๆ ติดอยู่บนรถตลอดทั้งคัน
• เมื่อล้างรถจนสะอาดดีแล้วอาจจะใช้สารเคมีเคลือบสีพวกครีมขี้ผึ้งขัดให้แลด้วยเงางาม
การแวกซ์รถเป็นการ ปกป้องพื้นผิวรถจากมลภาวะต่างๆ เราไม่จำเป็นต้องแว๊กซ์รถทุกครั้งที่เราล้างรถ เพียงปีละ 2 ครั้งก็เพียงพอ ถ้ารถเริ่มดูหมองๆ หรือน้ำไม่สามารถไหลลงที่ผิวรถเป็นหยดๆ เป็นสัญญาณว่า เราควรแวกซ์ได้แล้ว
การแวกซ์ต้องทำหลังจากการล้างรถ การแวกซ์บนพื้นผิวที่สกปรกจะขูดขีดสีรถได้ ดังนั้นล้างรถให้สะอาดและปล่อยให้แห้งสนิท ก่อนลงมือทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
สิ่งที่จำเป็น
* ผ้าขนหนูสะอาด
* น้ำสะอาด
* แวกซ์
* น้ำยาขัดเงา
ขั้นตอนที่ 1 – ขัดเงา
ขัดเงาก่อนที่จะเริ่มลงมือ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งสกปรกจะหลุดออกไปหมด ถ้ารถคุณเป็นรุ่นปี 80 หรือหลังจากนั้น เราแนะนำให้คุณใช้สินค้าที่เป็นแบบใสมากกว่า
โดยทั่วไป ควรจะล้างรถและปล่อยให้แห้งในที่ร่ม ไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง เพราะความร้อนจะทำให้แวกซ์ยาก หลังจากที่เราลงน้ำยาขัดเงาแล้วเริ่มขัดเงาจากด้านบนลงล่าง (หลังคา, กระโปรงหน้า-หลัง, ด้านขวาและด้านซ้าย) น้ำมันขัดเงาอาจมีที่ขัดให้มาด้วย แต่ถ้าไม่มีใช้ผ้าขนหนูธรรมดาก็ได้ โดยให้ขัดเบาๆ และเป็นวงๆ
เมื่อเสร็จแล้ว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีให้แห้ง แล้วใช้ผ้าสะอาดอีกผืนขัดออก
ขั้นตอนที่ 2 – ลงแวกซ์
หลังจากที่เราลงและขัดน้ำยาขัดเงาออกแล้ว ถึงเวลาที่เราจะลงแวกซ์ ใส่แวกซ์ลงผ้าสะอาดอีกผืน โดยขัดแบบเดิม เบาๆและเป็นวงๆ รอประมาณ 10 นาที จะสังเกตเห็นว่าสีของแวกซ์จะเริ่มเปลี่ยน ให้ใช้ผ้าเช็ดออกเบาๆ
ขั้นตอน 3 – ขัดสี
หลังจากนั้น ใช้ผ้าสะอาดอีกผืนออกแรงขัดให้สีรถที่เคลือบแวกซ์ใหม่ส่องประกายมากขึ้น