ระบบประกันสุขภาพแบบหลายมาตรฐาน
ประเทศไทยมีระบบประกันสุขภาพหลักๆ 4 แบบ
1.ราชการ
2.ประกันสังคม
3.30 บาท
4.ประกันสุขภาพส่วนบุคคล
1. ระบบสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลของข้าราชการ คุ้มครองข้าราชการประมาณ 5 ล้านคน
2. ระบบประกันสังคม คุ้มครองประชาชนจำนวน 9.8 ล้านคน และกำลังจะคุ้มครองเพิ่มอีก 5.8 ล้านคน ที่ย้ายมาจากระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า
3. ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า คุ้มครองประชาชนจำนวน 47.3 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ 5.8 ล้านคนกำลังจะถูกโอนเข้าสู่ระบบประกันสังคม
4. ระบบประกันสุขภาพส่วนบุคคล เป็นการประกันสุขภาพที่บุคคลทั่วไปซื้อกรมธรรม์จากบริษัทประกันทั่วไป มีจำนวนประมาณ 1 -2 ล้านคน
ระบบประกันสุขภาพทั้งหมดนี้ ยกเว้นประกันสังคมและประกันสุขภาพส่วนบุคคลล้วนแต่ใช้งบประมาณที่มาจากภาษี อากรทั้งสิ้น ในระบบประกันสังคม การส่งเงินเข้ากองทุนจะเป็นภาระของผู้ประกันตน นายจ้าง และรัฐ ในขณะที่ระบบประกันส่วนบุคคล ผู้ประกันตนจะเป็นผู้รับภาระจ่ายค่าเบี้ยประกันเอง
ถ้าพิจารณาโดยผิวเผิน จะเห็นได้ว่า ระบบประกันสุขภาพแบบที่ 1, 2 และ3 ที่ได้จ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนโดยรัฐ ก็ควรจะครอบคลุมคนไทยทั้งหมดทุกสถานะและอาชีพ แต่ อย่างไรก็ตาม มีระบบประกันสุขภาพอีกประเภทที่หน่วยงานรัฐซื้อจากบริษัทประกันเอกชน สำหรับกลุ่มที่มีสิทธิพิเศษ เช่น สำนักงานอัยการ สำนักงานคณะกรรมการป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ
วุฒิสมาชิก และ สภาผู้แทนราษฎร์ โดยให้ความคุ้มครองและประโยชน์ด้านประกันสุขภาพเหนือกว่าคนไทยทั่วไป
ข้อมูล (จากตาราง) สะท้อนถึงงบประมาณต่อหัวด้านการรักษาพยาบาลและสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างอย่าง มากระหว่างกลุ่มที่มีสิทธิพิเศษกับประชาชนคนไทยทั่วไป กลุ่มที่ได้รับสิทธิพิเศษ
สามารถเข้าบริการของโรงพยาบาลเอกชนที่หรูหรา ในขณะที่ประชาชนทั่วไปต้องใช้บริการโรงพยาบาลรัฐที่แออัด
สิทธิประโยชน์อื่นๆก็แตกต่างกัน เช่น ยา Rituximab ที่มีราคาแพงใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ผลดี สามารถจ่ายยาชนิดนี้ให้กับกลุ่มที่มีสิทธิพิเศษได้อย่างง่ายดายแต่แทบจะ ไม่ได้จ่ายให้กับผู้ประกันสุขภาพในระบบสุขภาพถ้วนหน้าและประกันสังคม และในยาชนิดเดียวกัน กลุ่มที่ได้รับสิทธิพิเศษจะได้รับยาที่ผลิตโดยบริษัทผู้ผลิต (ซึ่งแพงกว่ายาเทียบเท่าหลายเท่าตัว)
เมื่อพูดถึงสิทธิ์ในการรับบริการด้านการรักษพยาบาล ข้าราชการและครอบครัวจะได้รับความสำคัญก่อน หลังจากนั้นค่อยเป็นกลุ่มคนที่ต้องได้รับความช่วยเหลือพิเศษและคนที่อยู่ใน ระบบประกันสังคมตามลำดับ
การมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (เดิมคือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค) ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อระบบประกันสุขภาพในประเทศไทย ที่คนไทยทุกคนสามารถเข้ารับบริการด้านรักษาพยาบาลจากโรงบาลรัฐอย่างเท่าเทียม
ปัจจุบัน สวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการที่ครอบคลุมข้าราชการประมาณ 5 ล้านคน ใช้งบประมาณ 65,000 ล้านบาท หรือ 13,000 ต่อคน ในขณะที่ประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมประชาชน 47 ล้านคน ใช้งบประมาณ 89,000 ล้านบาท
หรือเพียง 1,894 บาทต่อคน ต่างกันเกือบเจ็ดเท่า และที่น่าแปลกใจก็คือ ระบบประกันสุขภาพที่ผู้ประกันตนต้องร่วมรับภาระ (ประกันสังคม) ได้รับคุณภาพการบริการที่ต่ำกว่าประกันสุขภาพถ้วนหน้าเสียอีก
ข้าราชการในองค์กรอิสระได้รับการจัดงบประมาณด้านประกันสุขภาพ 38,000 บาทต่อคน
รัฐมนตรี สภาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ วุฒิสมาชิก ได้รับ 20,000 บาทต่อคนและได้รับการเสนอเพิ่มเป็น 50,000 บาทต่อคนต่อปี
ในขณะที่คนไทยทั่วไปได้รับการจัดสรรงบประมาณด้านรักษาพยาบาลเพียง 2,000 บาทต่อคนต่อปีจากรัฐ
ความแตกต่างนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีการจัดสรรทรัพยากรของภาครัฐและภาคการเมือง ซึ่งแสดงให้ถึงความไม่เชื่อในความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นแก่นของระบอบประชาธิปไตย
ณ วันนี้ สังคมไทยเริ่มรับฟังและให้ความสนใจมากขึ้นต่อปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่กระนั้น ความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจต่อปัญหานี้ไม่เพียงพอ หลักสำคัญของเรื่องนี้
มิได้เกี่ยวกับการร้องขอให้เกิดความเห็นใจและ สงสาร แต่เกี่ยวกับความยุติธรรมภายใต้ความเท่าเทียมกันของสิทธิมนุษย์ ไม่ว่าสถานะทางสังคมอาชีพหรือสถานะทางการเมืองจะเป็นอย่างไร ทุกคนควรมีสิทธิ์ที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงบริการด้านการรักษาพยาบาล เพราะทุกระบบใช้งบประมาณจากภาษีอากรทั้งสิ้น
ระบบบริการด้านสุขภาพต้องไม่แบ่งชนชั้น หรือให้สิทธิพิเศษแก่คนบางกลุ่ม รัฐบาลต้องจัดให้ประชาชนมีอย่างเท่าเทียม รวยหรือจนไม่ควรเป็นอุปสรรคหรือปัจจัย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในระบบประกันสุขภาพ
ผู้เขียนบทความคือ Dr Pongsadorn Pokpermdee, senior expert at the National Health Security Office และ Ms Proud Patanavanich, Intern, College of William and Mary, USA. ตีพิมพ์ใน นสพ. Bangkok Post ๒๕๕๓