ทำอย่างไรเมื่อ ยางรถระเบิดขณะขับรถอยู่
กรณีที่ 1 เมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถยางระเบิดในขณะขับรถ
มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
ถอนคันเร่งออก
ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะว่า จะทำให้รถหมุน
ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลักเพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ให้ขาดจากเพลา
ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้เลี้ยวเข้าข้างทางซ้ายมือ
เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ
ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ
ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิด ล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้าย รถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนองตรงกันข้าม หากระเบิดด้านขวาอาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม
อุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็ คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมากๆ พอยางระเบิด ขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันทีทำอะไรไม่ได้
ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้
เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว
(ความเร็วที่ถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)
สัญญาณเตือนก่อนยางระเบิด
สัญญาณเตือนยางหมดอายุ สภาพยางมีรอยแตก รอยฉีกขาด รอยปริหรือรอยบาดลึกบริเวณแก้มยาง หน้ายางมีรอยปูดบวมหรือเป็นลูกคลื่น ดอกยางสูงน้อยกว่า 1.5 มิลลิเมตร ร่องยางตื้นและไม่ต่อกัน
ลมยาง แรงดันลมยางอ่อนกว่าค่าที่กำหนดจนต้องเติมลมยางบ่อยกว่าปกติ หรือเติมลมยางไม่เข้า อาการผิดปกติขณะขับขี่ มีการสั่นสะเทือนที่เกิดจากยาง โดยพวงมาลัยสั่นผิดปกติ บังคับรถได้ยากโดยเฉพาะขณะเลี้ยวหรือเข้าโค้ง
การดูแลยางรถ หมั่นตรวจสอบความดันลมยางให้อยู่ในระดับที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ เลือกใช้ยางที่มีขนาดและรุ่นเดียวกันทั้ง 4 เส้น เหมาะสมกับประเภทของรถและสภาพการใช้งาน รวมถึงสลับยางหน้าและหลังทุก ๆ 1 หมื่นกิโลเมตรและเปลี่ยนยางรถยนต์ทุก 2 ปีหรือ 5 หมื่นกิโลเมตร
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เช่น ขับปีนหรือเบียดขอบถนน ไหล่ทางหรือชนขอบฟุตปาธ ขับตกหลุมบ่ออย่างแรง ขับทับวัตถุที่แหลมคม ตลอดจนไม่ออกรถอย่างรุนแรง ไม่ขับด้วยความเร็วสูง ไม่เบรกกะทันหัน เพราะจะทำให้ยางร้อนและระเบิดได้
ไม่จอดทิ้งเป็นเวลานานหรือบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เพราะน้ำหนักทั้งหมดของรถจะกดลงสู่ยางทุกเส้น ทำให้ยางเสื่อมสภาพและระเบิดได้
หากหน้ายางบวมห้ามใช้อุปกรณ์เคาะหรือตียางรถเด็ดขาด เพราะจะทำให้ลมยางเคลื่อนตัวส่งผลให้ยางระเบิดและผู้ใช้งานได้รับอันตรายจากอุปกรณ์ที่ใช้เคาะ
กรณีที่ 2 เมื่อรถตกน้ำ
ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปในน้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำ แต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึง พื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้ ตั้งสติให้ดี และ ปฏิบัติดังต่อไปนี้
ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย
อย่าออกแรงใดๆ เพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ
ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน! ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุด แล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของรถได้
จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้
ในกรณีนี้หากน้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่า ทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำเพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ
กรณีเช่นนี้ ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติ หรือ ลองเป่าปากดูว่า ฟองอากาศลอยไปในทิศทางใด ให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป
ก็จะไม่มี อาการ หลงน้ำ นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถ หากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆ นั้น ออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน
ดังนั้นหากท่านปฏิบัติ ตามวิธีการเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่าน ปลอดภัยได้ ในยามคับขัน