ยางรถยนต์มีผลต่อปริมาณการใช้น้ำมันอย่างยิ่ง

ยางรถยนต์มีผลต่อปริมาณการใช้น้ำมันอย่างยิ่ง โดยคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ๒๐ของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันทั้งหมดเชียวนะครับ เพราะทุกๆ รอบที่ล้อหมุนบนถนน หน้ายางรถยนต์จะยืดและหด เพื่อสร้างการยึดเกาะกับพื้นถนนอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เกิดการสูญเสียพลังงานออกมา ในรูปแบบของความร้อน และเป็นสาเหตุหลักของการต้านแรงหมุนอีกกว่า๙๐% ยิ่งยางรถยนต์มีการต้านแรงหมุนมากเท่าไหร่? เครื่องยนต์ก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น ในการสร้างกำลัง เพื่อเอาชนะการต้านแรงหมุน และให้รถยนต์สามารถเคลื่อนที่ต่อไปได้ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น รถก็จำเป็นต้องใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

โดยทั่วไปแล้ว อายุของยางรถยนต์ จะเริ่มต้นจากวันแรกที่ใช้งานจริง หรือติดล้อวิ่งครั้งแรก ไม่ใช่จากวัน เดือน ปี ที่ผลิดยางรถยนต์ ซึ่งสามารถพิจารณาและสังเกตุได้จากความสึกของดอกยางรถยนต์ โดยดูจาก”สะพานยาง” ที่อยู่ระหว่างร่องดอกยาง ถ้ามีความสูงต่ำกว่า 1.6 มิลลิเมตร แปลว่ายางรถยนต์ถึงเวลาสิ้นสุดการใช้งานแล้ว หล่ะครับ และนอกจากการสึกของดอกยางรถยนต์ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้ยางเสื่อมสภาพการใช้งานได้อีกนะครับ นั่นก็คือ ยางรถยนต์เกิดบาดแผลจากของมีคม หรือยางรถยนต์เสื่อมคุณภาพจนเนื้อยางแตกลายงา ซึ่งจะส่งผลให้ความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์ของคุณ ลดน้อยลง อันตรายเพิ่มมากขึ้น

ฉะนั้น หากพบยางรถยนต์ พบกับปัญหาที่ผมได้บอกไว้ แสดงว่ายางรถยนต์หมดอายุการใช้งาน ควรเปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่รถยนต์นะครับ และถ้าหากให้การขับขี่รถยนต์มั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น ในสภาพการขับขี่ที่มีฝนตก เมื่อพบว่ายางสึกหรอ ลึกประมาณ 3.5 มิลลิเมตร ผมแนะนำให้เปลี่ยนยางรถยนต์เส้นใหม่นะครับ
เกร็ด ดี ดี ในการตรวจสภาพยางรถยนต์
1.ควรเช็คลมยางรถยนต์เป็นประจำ ทุก 2 สัปดาห์ หรือทุกครั้งก่อนเดินทางไกล
2.ค่าเฉลี่ยความดันลมยางรถยนต์ สำหรับรถเก๋ง ควรเติม 30-32 ปอนด์/ตารางนิ้ว ส่วนรถกระบะ 35-40 ปอนด์/ตารางนิ้ว
3.กรณีดอกยางรถยนต์ใหม่หมด ใช้งานโดยเฉลี่ยเกิน 3 ปี หรือเกิน 50,000 ก.ม. หากต้องการใช้งานต่อ ต้องหมั่นตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์ อย่างสม่ำเสมอ หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์ก่อนเดินทางทุกครั้ง ถ้าหากไม่แน่ใจ สามารถนำรถของท่าน ไปตรวจเช็คที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่