หลักความสุจริตต่อกันอย่างยิ่ง (Utmost Good Faith)
สัญญาประกันภัยต้องอาศัยเหตุการณ์ ในอนาคตอันไม่แน่นอนมาเป็นปัจจัยในการกำหนดการชำระค่าสินไหมทดแทนของผู้รับประกันภัย โดยผู้รับประกันภัยจะต้องอาศัยข้อมูลต่าง ๆ ของ ผู้เอาประกันภัยเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าจะเข้ารับเสี่ยงภัยหรือไม่ ดังนั้นผู้เอาประกันภัยจะต้องเปิดเผยข้อความจริงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมของการเสี่ยงภัยนั้นของผู้เอาประกันให้ผู้รับประกันภัยทราบโดยละเอียด หน้าที่การเปิดเผยข้อความจริงตามหลักสุจริตอย่างยิ่งนี้ ปัจจุบันใช้เป็นหลักของสัญญาประกันภัยในทุกประเทศ
หลักความสุจริตต่อกันอย่างยิ่ง หมายถึง คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ได้แก่ผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย จะต้องมีความเป็นสุจริตในใจในการทำสัญญาต่อกัน โดยการเปิดเผยข้อความจริงการไม่แถลงข้อความเท็จ และการรับรองว่าจะปฏิบัติตามสัญญาประกันภัย
ประมวลกฎหมายเพ่งและพาณิชย์ มาตราที่ 865
“ถ้าในเวลาทำสัญญาประกันภัยก็ดีหรือกรณีประกันชีวิตบุคคลอันการใช้เงิน ย่อมอาศัยการทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็ดี รู้อยู่แล้วจะเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัย ให้เรียกร้องประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้ว แถลงข้อความนั้นเป็นเท็จไซร้ท่านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆียะ”
หลักความสุจริตต่อกันอย่างยิ่ง ในกฎหมายจะบัญญัติไว้ ดังนี้
1. ผู้เอาประกันภัย จะต้องแถลงข้อความอันเป็นจริงทุกอย่างให้ผู้รับประกันภัยหรือตัวแทนเขาทราบ ถ้าแถลงข้อความอันเป็นเท็จสัญญาจะเป็นโมเฆียะไป นอกจากนี้การที่ผู้เอาประกันรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงที่จะเป็นเหตุให้ผู้รับประกันไม่รับประกัน หรืออาจรับแต่เรียกร้องเบี้ยประกันสูงสัญญาก็เป็นโมเฆียะ
2. ผู้รับประกันภัย มีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังตามปกติวิญญูชน (คือผู้รับประกันภัยทั่วๆ ไปควรใช้ความระมัดระวังที่จะสืบสานจนสามารถรู้ข้อความจริงนั้นได้หรือไม่) เรื่องที่ควรจะรู้ถึงข้อความอันเป็นเท็จหรือไม่ด้วยถ้ารู้แล้วรับประกันไปสัญญาก็สมบูรณ์ หรือถ้าไม่รู้แต่น่าจะได้รู้ ถ้าระมัดระวังบ้างสัญญาก็สมบูรณ์จะอ้างว่าผู้เอาประกันแถลงเท็จมาอ้างให้พ้นความรับผิดไม่ได้ (มาตรา 865-866)
สาระสำคัญที่ถือว่าปฏิบัติหลักความสุจริตต่อกันอย่างยิ่ง สามารถพิจารณาได้ดังนี้
1.การไม่เปิดเผยข้อความจริง (Non-Disclosure)
หมายถึง การเปิดเผยข้อความจริงที่เป็นสาระสำคัญ (Material Fact) ซึ่งอยู่ในความรู้เห็นของผู้เอาประกัน ทั้งที่เป็นข้อรู้เห็นโดยแท้ (Actual Knowledge) และข้อที่น่าจะรู้เห็น (Presumed Acknowledge) อันเป็นหน้าที่ของผู้เอาประกันภัยจะต้องเปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบโดยไม่ต้องสอบถามการไม่เปิดเผยข้อความจริงนี้ในบางกรณี เรียกว่า การปกปิดข้อความจริง (Concealment)
แต่ในการตีความนั้นกรณีจะถือว่าเป็นการปกปิดข้อความจริงก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัย มีเจตนาจะปกปิดข้อความจริงนั้นไม่ให้ผู้รับประกันภัยทราบ ซึ่งมีผลทำให้สัญญาประกันภัยตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา865 ข้อความจริงที่เป็นสาระสำคัญซึ่งผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่จะต้องเปิดเผยให้ผู้รับประกันภัยทราบ มักจะเป็นสิ่งซึ่งมีการเสี่ยงภัยมากกว่าปกติและเกี่ยวเนื่องกับสภาวะภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) ซึ่งผู้รับประกันภัยจะให้ความสนใจเป็นพิเศษในการพิจารณาว่าจะรับประกันภัยนั้นหรือไม่และถ้าหากรับประกันภัยได้ จะรับในอัตราเบี้ยประกันภัยปกติหรือ อัตราเบี้ยประกันภัยที่สูงขึ้นหรือจะต้องกำหนดเงื่อนไขพิเศษในการรับประกันภัยนั้น เช่นยกเว้นบางอย่าง เป็นต้น
ตัวอย่าง
กรณีที่นาย A นำรถยนต์ของตนที่เพิ่งเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุไปเฉี่ยวชนต้นไม้ มาขอทำประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 กับบริษัทประกันภัย โดยไม่ได้แจ้งให้บริษัททราบ และยังมีเจตนาที่จะทุจริตต่อบริษัทโดยการแจ้งเคลมความเสียหายจากอุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นก่อนที่บริษัทตกลงจะรับประกันภัยด้วย
ถือว่านาย A ไม่เปิดเผยข้อความจริงที่เป็นสาระสำคัญให้บริษัทราบ ซึ่งถ้าหากบริษัททราบข้อความจริงนี้ก่อนก็จะปฏิเสธการรับประกันภัยรถยนต์คันนี้ บริษัทประกันภัยแห่งนี้จึงสามารถจะใช้สิทธิบอกล้างสัญญาประกันนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 865
บริษัทประกันจะไม่จ่ายเคลมให้กับนาย A และโดยทั่วไปก็มักไม่ฟ้องร้องลูกค้า
2.การแถลงข้อความเท็จ (Misrepresentation)
หมายถึง การที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องตอบข้อซักถามของบริษัทประกันภัยในขณะขอทำสัญญาประกันภัยให้ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งจะกระทำโดยวาจาหรือลายลักษณ์อักษรตามแต่กรณี การแถลงหรือตอบข้อซักถามที่เป็นความเท็จ ทำให้สัญญาประกันตกเป็นโมฆียะ เช่นเดียวกับการเปิดเผยข้อความจริงหรือการปกปิดข้อความจริง
ตัวอย่าง
แพทย์ได้วินิจฉัยว่านาย A ป่วยด้วยโรคมะเร็งในตับระยะที่ 3 และแพทย์ได้ลงความเห็นว่า นาย A คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่เกิด 1 ปี นาย A จะมาขอทำประกันชีวิตกับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งเป็นเงิน 100,000 บาท เพื่อจะได้มีหลักประกันให้แก่ครอบครัวภายหลังจากที่ตนเสียชีวิตลง ซึ่งนาย Aทราบจากตัวแทนว่าตามระเบียบบริษัทแล้ว วงเงินทุนประกัน 100,000 บาทนี้ ไม่ต้องมีการตรวจสุขภาพของผู้เอาประกันชีวิต เพียงกรอกรายละเอียดในใบคำขอเอาประกันชีวิตเท่านั้น ซึ่งนาย Aเพียงแต่กรอกรายละเอียดในคำถามข้อที่ว่า “ท่านเคยป่วยหรือวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งหรือไม่” ว่า “ไม่” เท่านั้น ซึ่งบริษัทประกันชีวิตแห่งนั้นก็ไม่ได้ตรวจสุขภาพของนาย A ก่อนการรับประกัน เนื่องจากเป็นวงเงินทุนประกันที่ต่ำ หลังจากที่บริษัทตกลงรับประกันชีวิตของนาย A ไปได้ 8 เดือน นาย A เสียชีวิต บริษัทสงสัยจึงใช้เวลา 2 สัปดาห์ สืบหาพบหลักฐานชัดว่า นาย A เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในตับ
ถือว่านาย A ได้แถลงข้อความเท็จที่เป็นสาระสำคัญ (Material Misrepresentation) ต่อการพิจารณารับประกันชีวิตของบริษัท ซึ่งถ้าหากบริษัททราบข้อความจริงนี้ตั้งแต่ต้น บริษัทก็จะปฏิเสธการรับประกันชีวิตของนาย A
บริษัทประกันชีวิตจึงใช้สิทธิในการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตนั้นได้ทันทีตามประมาณกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 865
หากทำประกันชีวิตครบ 2 ปี บริษัทประกันชีวิต ไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้
เป็นที่มาว่า ถ้าคุณจะ โกง บริษัทประกันชีวิต ก็ต้องปกปิดให้ได้2ปี
3.คำรับรอง (Warranties)
หมายถึง การที่ผู้เอาประกันภัยให้คำรับรองต่อผู้รับประกันภัยว่า ผู้เอาประกันภัยจะต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ในการเสี่ยงภัยของผู้รับประกันภัย
เช่น ผู้เอาประกันภัยจะไม่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ในอาคารที่เอาประกันภัยหรือจะต้องจัดหาอุปกรณ์ดับเพลิงติดตั้งอยู่ในอาคารที่เอาประกันภัย
คำรับรองโดยทั่วไปจะต้องเขียนไว้ชัดเจนในสัญญาประกับภัย
การปฏิบัติผิดคำรับรองหรือการไม่ปฏิบัติตามคำรับรองมีผลเท่ากับการปฏิบัติผิดเงื่อนไขอันเป็นสาระสำคัญของสัญญาประกันภัย ผู้รับประกันภัยมีสิทธิปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาประกันภัยได้