หลักทรัพย์ที่ควรร้จัก
103

หลักทรัพย์ที่ควรร้จัก

หลักทรัพย์ที่ควรร้จัก

      โลกของเราเปลี่ยนแปลงทุกวัน  สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ  คนเราต้องแก่ลง  และต้องมีเงินเก็บไว้ใช้ยามเกษียณ  การลงทุนจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น  ขณะเดียวกัน  การลงทุนโดยไม่มีความเข้าใจที่มากพอ  ก็อาจทำลายเงินออมทั้งก้อนที่เราเฝ้าอุตส่าห์เก็บมาตลอดชีวิตก็ได้

        ในบทความชิ้นนี้  จะเป็นเพียงการแนะนำหลักทรัพย์ทางการเงินชนิดต่างๆให้เรารู้จักแบบคร่าวๆ  หากเราสนใจจะลงทุนสินค้าชนิดใดคงต้องไปศึกษาข้อมูลลึกลงไปในหลักทรัพย์นั้นๆ  ก่อนตัดสินใจลงทุนจริงๆ

        หลักทรัพย์ทางการเงินที่ควรรู้จัก

        1. หุ้นสามัญ  (  COMMON  SHARE  ,  STOCK  )  คือ  เอกสารที่แสดงสิทธิในความเป็นเจ้าของของบริษัท  หรือ  กิจการใดกิจการหนึ่ง
        วัตถุประสงค์ของบริษัทที่ออกขายหุ้น  เพื่อระดมเงินทุนขยายกิจการ  แต่ผู้ซื้อหุ้นหรือผู้ถือหุ้น  มีวัตถุประสงค์เพื่อหวังผลกำไรจากเงินปันผล  และการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น
      การเป็นผู้ถือหุ้น  ยังทำให้เรามีสิทธิมีส่วนในการกำหนดแนวนโยบายของบริษัท  แต่สิทธิดังกล่าวจะมากน้อยเพียงใด  ขึ้นกับว่า  เราถือหุ้นบริษัทนั้นมากน้อยเพียงใดด้วย

        2. หุ้นบุริมสิทธิ์  (  PREFERED  SHARE  )  คือหุ้นประเภทหนึ่งที่ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ถือหุ้นมากกว่าหุ้นสามัญ  อย่างน้อยสองประการ  คือ
      ประการแรก  มีสิทธิรับเงินปันผลในอัตราที่แน่นอนก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ  เงินปันผลที่ไม่จ่ายในปีปัจจุบันก็ให้สะสมไปจ่ายในอนาคตได้  ขึ้นกับข้อกำหนดในการออกหุ้นบุริมสิทธิ์ในครั้งนั้นๆ
      ประการที่สอง  หากบริษัทต้องเลิกกิจการ  ผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับการแบ่งทรัพย์สินก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ  โดยทั่วไป  บริษัทจะออกหุ้นบุริมสิทธิ์ในภาวะที่บริษัทเกิดวิกฤต  ระดมเงินทุนไม่ได้  จึงต้องจูงใจผู้คน  โดยให้สิทธิพิเศษมากกว่าผู้ถือหุ้นเดิม  แต่บริษัทมักกำหนดให้  ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ์  ไม่มีสิทธิในการออกเสียงและไม่มีสิทธิในการรับเลือกตั้งเป็นกรรมการบริษัท

        3. หุ้นกู้  (  DEBENTURE  ,  CORPORATE  BOND  )  คือ  เอกสารที่แสดงสิทธิเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท  หรือ  กิจการใดกิจการหนึ่ง
      บริษัทออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนขยายกิจการ  แต่ทำในรูปของการกู้ยืมประชาชนโดยกำหนดระยะเวลา  และอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน  (  ว่าเป็นคงที่หรือลอยตัวตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง  )  โดยทั่วไปหุ้นกู้จะมีอายุ  3-7  ปี  ดอกเบี้ยมักสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร  แต่เป็นการกู้ที่ไม่มีหลักประกัน  การจ่ายดอกเบี้ยจะจ่ายเป็นงวดๆ  เมื่อครบกำหนดผู้ลงทุนจะได้รับเงินต้นคืน
      บริษัทเลือกจะกู้เงินจากประชาชนโดยตรง  เพราะอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าการกู้เงินจากธนาคาร  ระยะเวลากู้ยาวนานกว่า  ทำให้บริหารเงินได้ง่าย  หรือ  อยู่ในภาวะที่ธนาคารอาจไม่ยอมปล่อยกู้เพิ่มเติมให้แล้ว  จึงต้องหาช่องทางกู้เงินจากประชาชนแทน
      ส่วนผู้ลงทุนซื้อหุ้นกู้  เพราะ  ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าฝากธนาคาร  ,  มีผลตอบแทนคงที่  และยังสามารถทำกำไรได้จากการขายหุ้นกู้  ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มลดลง  หุ้นกู้จะมีราคาสูงขึ้น
    หุ้นกู้มีหลายประเภท  เช่น
    - หุ้นกู้แปลงสภาพ  คือ  หุ้นกู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษสามารถเลือกแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้  หรือจะถือเป็นหุ้นกู้ต่อเพื่อรับดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้  จนครบกำหนดก็ได้  ผู้ลงทุนจะใช้สิทธิแปลงสภาพก็ต่อเมื่อราคาหุ้นสามัญอยู่สูงกว่าราคาแปลงสภาพ
    - หุ้นกู้มีหลักประกัน  คือ  หุ้นกู้ที่มีสถาบันการเงิน  หรือ  บริษัทอื่นที่มั่นคงกว่ามาค้ำประกันหนี้สินให้  หรือ  บริษัทผู้ออกหุ้นกู้  อาจยินยอมให้เอาทรัพย์สิน  เช่น  ที่ดิน  ,ตัวโรงงาน  มาค้ำประกันหนี้สิน
    - หุ้นกู้ด้อยสิทธิ์  คือหุ้นกู้ที่กำหนดให้มีสิทธิเรียกร้องต่อบริษัทเป็นลำดับท้ายๆในกลุ่มหุ้นกู้ด้วยกันในกรณีที่บริษัทปิดกิจการลง  แต่มักให้ดอกเบี้ยสูงมาก
      หมายเหตุ  ลำดับสิทธิ์ในการเรียกร้องต่อสินทรัพย์ของบริษัท  ในกรณีที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งปิดกิจการ  คือ รัฐบาล  (  กรมสรรพากร  ) , พนักงาน ลูกจ้าง  ,  เจ้าหนี้หรือผู้ถือหุ้นกู้มีหลักประกัน  , เจ้าหนี้การค้า  ,  เจ้าหนี้ทั่วไป  ,  ผู้ถือหุ้นกู้  ,  หุ้นกู้ด้อยสิทธิ์  ,  หุ้นบุริมสิทธิ์  และหุ้นสามัญ

      4. สลิปส์ -  แคปส์  (  SLIPS  ,  CAPS  )  คือ  หุ้นบุริมสิทธิ์ควบหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์  ที่สถาบันการเงินนำออกมาขายระดมทุนในช่วงเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน  เนื่องจากไม่สามารถเพิ่มทุนในรูปของหุ้นสามัญได้  จึงระดมทุนในรูปหุ้นบุริมสิทธิ์  ที่มีหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ดอกเบี้ยสูงถึง  22  %  มาจูงใจ  โดยคาดการณ์ว่า  ในช่วง  5  ปีแรก  บริษัทคงยังไม่มีกำไรมาจ่ายเงินปันผลให้หุ้นบุริมสิทธิ์  ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยจึงตกปีละ  11  %  เมื่อครบ  5  ปีสถาบันการเงินเหล่านี้มีสิทธิไถ่ถอนหลักทรัพย์ดังกล่าวได้

      5.  พันธบัตร  (  GOVERNMENT  BOND  )  คือ  หุ้นกู้ที่ออกโดยรัฐบาล  หรือรัฐวิสาหกิจโดยมีรัฐบาลค้ำประกัน  ความเสี่ยงจากการไม่ได้เงินลงทุนคืนจึงแทบไม่มี  ดอกเบี้ยมักจะต่ำกว่าหุ้นกู้ทั่วไป  แต่ยังคงสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร  เนื่องจากระยะถือครองยาวนานกว่า

      6.  วอร์แรนท์  (  WARRANT  )  คือ  เอกสารแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญในอนาคตในจำนวนและราคาที่กำหนดไว้  บริษัทมักออกวอร์แรนท์เพื่อจูงใจผู้ถือหุ้นในกรณีต้องการเพิ่มทุนโดยอาจจะให้ฟรี  หรือ  จำหน่ายในราคาถูก  ผู้ถือวอร์แรนท์จะใช้สิทธิก็ต่อเมื่อราคาหุ้นสามัญสูงกว่าราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ  โดยที่ต้นทุนในการถือวอรํแรนท์ต่ำกว่าหุ้นสามัญ  แต่  การเปลี่ยนแปลงของราคาใกล้เคียงกับหุ้นสามัญ  จึงถือเป็นหลักทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคาสูงมาก

      7.  สัญญาสิทธิ์  (  OPTION  )  คือ  เอกสารแสดงสิทธิที่จะซื้อ  หรือ  ขายทรัพย์สินที่ระบุไว้  โดยไม่บังคับว่าต้องซื้อ  หรือขายตามที่ระบุไว้นั้น  โดยทั่วไปตราสารนี้จะระบุเงื่อนไขต่างๆ  เช่น  วันที่ใช้สิทธิ์  ราคาหรือจำนวนของตราสาร  ที่ผู้ถือสามารถใช้สิทธิ์ซื้อหรือขายให้
      สิทธิ์ในการซื้อหลักทรัพย์ที่ระบุไว้  เรียกว่า    CALL  OPTION  สิทธิ์ในการขายเรียกว่า  PUT  OPTION  วอร์แรนท์จัดเป็นสัญญาสิทธิ์ชนิด CALL  OPTION

      8. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า  (  FORWARD หรือ  FUTURE  )  คือ  สัญญา  หรือข้อตกลงที่ผู้ถือหุ้น  และผู้ออกตราสารต้องดำเนินการซื้อหรือขาย  และส่งมอบทรัพย์สินตามราคาและจำนวนที่ระบุไว้  ณ วันสิ้นสัญญา เป็นการเก็งกำไรภาวะการณ์ในอนาคตที่มีความเสี่ยงสูงสุด  เนื่องจากถูกบังคับให้ปฎิบัติตามสัญญาซึ่งกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว

      9. บัตรเงินฝาก  (  NEGOTIABLE  CERTIFICATE  OF  DEPOSIT  /  NCD  )  คือตราสารชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายการฝากเงินแบบประจำ  ที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ฝากเงิน  ต่างจากการฝากประจำตรงที่สามารถเปลี่ยนมือจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้  และจำนวนเงินขั้นต่ำในการฝากเงินอยู่ที่  5  แสนบาท  โดยระยะเวลาที่ฝากจะอยู่ระหว่าง 3  เดือนถึง  3  ปี  แล้วแต่จะกำหนด  ผู้ถือจะได้รับเงินต้น  และดอกเบี้ยทั้งหมดก็ต่อเมื่อถือจนครบกำหนด  ดังนั้นผลตอบแทนจึงมักมากกว่าการฝากประจำ

      10.  ตั๋วสัญญาใช้เงิน  (  PROMISSORY  NOTE  /  P/N  )  เป็นหนังสือซึ่งผู้ออกตั๋วให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่ง  ให้แก่บุคคลหนึ่ง  คล้ายๆการเขียนเช็คล่วงหน้าเพียงแต่ผู้ออกตั๋วต้องอยู่ในรูปของบริษัท  และตั๋วเงินนี้ต้องติดอากรแสตมป์ให้เรียบร้อย
        แต่ความหมายของตั๋วสัญญาใช้เงินในท้องตลาดหมายถึง  ตั๋วเงินที่บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์  จะออกให้กับผู้ฝากเงิน  ซึ่งมักให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากธนาคาร  การฝากเงินสามารถฝากได้ตั้งแต่  10,000  บาทขึ้นไป  ตามกำหนดเวลาที่ต้องการ

      11.  ตั๋วแลกเงิน  (  BILL  OF  EXCHANGE  /  B/E  )  เป็นตั๋วเงินชนิดหนึ่งที่ออกโดยบริษัทจำกัด  ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน  เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนระยะสั้น  3 - 12  เดือนมีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารและตั๋วสัญญาใช้เงิน  ( P/ N )  ของบริษัทเงินทุน
      บริษัทเอกชนนิยมออกตั๋วแลกเงินแทนหุ้นกู้  เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทต่อสาธารณชน  และไม่ต้องการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างบริษัทจัดอันดับเครดิตมาจัดทำอันดับความน่าเชื่อถือให้เหมือนการจำหน่ายหุ้นกู้
      ตามปกติ  บริษัทจะออกตั๋วแลกเงินเพื่อใช้หมุนเวียนในธุรกิจการค้า  มากกว่าใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนระยะยาว  แต่ระยะหลังเริ่มมีบริษัทบางแห่งใช้ตั๋วแลกเงินในการระดมทุนระยะยาว  โดยขยายเวลาเป็น  3  ปี  เพื่อทดแทนการออกหุ้นกู้
        ตั๋วแลกเงิน  สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้  มีระยะเวลาไถ่ถอนสั้นกว่าตราสารอื่น ทำให้เกิดความคล่องตัว  บริหารได้ง่าย  และบริษัทที่ออกตั๋วแลกเงินมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่  จึงได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบัน  เช่น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
      ตั๋วแลกเงิน  จะมีธนาคารพาณิชย์ค้ำประกัน  (  อาวัล  )  ให้หรือไม่ก็ได้  หากผู้ออกตั๋วต้องการให้ตั๋วแลกเงินของตนดูน่าเชื่อถือและได้รับความนิยม  ก็ให้ธนาคารค้ำประกัน  โดยในการนี้  ต้องเสียค่าใช้จ่ายบางส่วนให้ธนาคาร

      12. ตั๋วเงินคลัง  (  TREASURY  BILL  )  คือ  ตราสารทางการเงิน  ที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเป็นผู้ออก  เพื่อกู้ยืมเงินระยะสั้นๆ  ไม่เกิน  1  ปี  จากสถาบันการเงินในประเทศ  จำหน่ายโดยวิธีประมูล  ซึ่งกระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย  เป็นผู้จัดการประมูลแทน  ผู้มีสิทธิเข้าร่วมประมูลได้แก่  สถาบันการเงินต่างๆ  เช่น  ธนาคาร  , บริษัทเงินทุน  ,  บริษัทหลักทรัพย์  ,  บริษัทประกันภัย  ,  บริษัทประกันชีวิต  ,  กองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  โดยจะจัดสรรให้แก่ผู้ที่เสนอผลตอบแทนต่ำสุดก่อน  แล้วจึงจัดสรรให้ผู้ประมูลที่เสนอผลตอบแทนสูงขึ้นตามลำดับ  จนกว่าจะครบวงเงิน

        13.  กองทุนรวมตราสารหนี้  (  FIXED  INCOME  FUND /  BOND  FUND  ) คือ  กองทุนรวมที่บริษัทจัดการกองทุน  จะนำเงินของผู้ลงทุนไปซื้อหุ้นกู้  , พันธบัตรรัฐบาล  ตั๋วแลกเงิน  ตั๋วสัญญาใช้เงินและเงินฝากเป็นหลัก  เหมาะกับผู้ออมเงินรายย่อยที่ต้องการความเสี่ยงต่ำ  และต้องการสภาพคล่องในการขายหน่วยลงทุน  แต่ต้องยอมรับว่าผลตอบแทนของเราส่วนหนึ่งจะถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหาร  คิดแล้วประมาณ  1  %  ของเงินลงทุน

      14.  กองทุนรวมตราสารทุน  (  EQUITY  FUND  )  คือ  กองทุนรวมที่บริษัทจัดการกองทุน  จะนำเงินของผู้ลงทุนไปซื้อหุ้นเป็นหลัก  (  บางกองทุนอาจลงทุนในวอร์แรนท์ด้วย  )  เหมาะกับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน  แต่ต้องการผลตอบแทนสูง  ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่ามีความเสี่ยงสูงด้วย

      15.  กองทุนเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ  (  FOREIGN  INVESTMENT  FUND  /FIF  )  เป็นกองทุนที่ได้รับอนุญาตให้ไปลงทุนในต่างประเทศได้  เป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถแสวงหาแหล่งลงทุนที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่า  เป็นการกระจายความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของอัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเศรษฐกิจในประเทศ  โดยทางการได้เปิดให้เริ่มลงทุนได้ในไตรมาสที่  2  ของปี  2545  นี้  เฉพาะกองทุนรวมที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

      16.  กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์  (  PROPERTY  FUND )คือ  กองทุนรวมที่บริษัทจัดการกองทุน  จะนำเงินของผู้ลงทุนไปซื้ออาคารสำนักงาน  หรืออาคารที่พักอาศัย  ที่อยู่ในทำเลที่ดีใจกลางเมือง  และมีผู้เช่าตั้งแต่  80  %  ขึ้นไป  มีรายได้จากการเช่าสม่ำเสมอ  สามารถสร้างผลตอบแทนในรูปของค่าเช่าหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วประมาณ  8-10  %  ต่อปี  ซึ่งกำไรสุทธินี้จะถูกนำไปจ่ายคืนให้ผู้ลงทุนในรูปของเงินปันผลและยังมีโอกาสทำกำไรเพิ่มได้จากการขายอาคารต่อ  หากมีผู้สนใจจะซื้ออาคารนี้ในอนาคต
      โดยทั่วไปหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จะต้องถูกนำเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถขายทำกำไร  หรือเปลี่ยนเป็นเงินสดได้  ขณะที่นักลงทุนอื่นที่ยังไม่ได้ซื้อหน่วยลงทุนนี้ตั้งแต่แรก  ก็สามารถไปซื้อหน่วยลงทุนนี้ได้ในตลาดหลักทรัพย์

      17. กองทุนส่วนบุคคล  (  PRIVATE  FUND  )  คือ  กองทุนที่สถาบันการเงินผู้ได้
รับอนุญาต  จัดการการลงทุนให้กับบุคคล  หรือ  คณะบุคคลไม่เกิน  10  ราย  โดยมีจำนวนเงินต่อกองทุนไม่น้อยกว่า  10  ล้านบาท  ซึ่งเจ้าของเงินทุนสามารถมีส่วนในการกำหนดนโยบายการลงทุนของตนเองได้

      18. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  (  PROVIDENT  FUND  /  PVD  )  คือ  กองทุนที่ลูกจ้างและนายจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้นโดยความสมัครใจ  เงินกองทุนมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายสะสมและเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบให้ทุกเดือน  เพื่อเป็นหลักประกันแก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างเกษียณอายุหรือ  ออกจากงาน  ลูกจ้างจะถูกกำหนดให้จ่ายเงินสะสมตั้งแต่ร้อยละ  2-15  ของเงินเดือนและนายจ้างจะต้องสมทบเงินไม่น้อยกว่าเงินสะสมของลูกจ้างแต่ไม่เกินร้อยละ  15  ของเงินเดือนลูกจ้าง  เงินสะสมที่ลูกจ้างจ่ายสามารถนำมาหักลดหย่อนในการคำนวณเงินได้เพื่อเสียภาษีตามที่จ่ายจริง  แต่ไม่เกินปีละ  10,000  บาท  ส่วนที่เกิน  10,000  บาทแต่ไม่เกิน 290,000  บาทได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปคำนวณเงินได้เพื่อเสียภาษี

      19.  กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ  (  GOVERNMENT  PENSION  FUND  /GPF  /  กบข.  )  คือ  กองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารเงินเกษียณอายุให้ข้าราชการแทนระบบบำเหน็จบำนาญเดิม  ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและฐานะทางการคลังของประเทศ  ข้าราชการจะถูกกำหนดให้จ่ายเงินสะสมร้อยละ 3 ของเงินเดือน  ส่วนรัฐจะจ่ายเงินสมทบให้ร้อยละ 3 เช่นกัน
      เมื่อสมาชิกเกษียณอายุ  หากอายุราชการไม่ถึง 10 ปี จะได้รับเงินสะสม  เงินสมทบและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น  หากทำงาน 10 ปีขึ้นไป  แต่ไม่ถึง 25 ปี จะได้รับเงินสะสม  เงินสมทบ  และดอกผลจากกบข.  พร้อมมีเงินบำเหน็จให้อีกก้อนหนึ่ง  ซึ่งเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยอายุราชการ  หากทำงาน 25 ปีขึ้นไป  สมาชิกกองทุนจะได้รับเงินสะสม  เงินสมทบและดอกผลจากกบข.  พร้อมบำเหน็จหรือบำนาญ  หากเป็นบำเหน็จจะเท่ากับเงินเดือนสุดท้ายคูณอายุราชการ  ถ้าเป็นบำนาญจะเท่ากับเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายคูณอายุราชการหารด้วยห้าสิบ  รับป็นรายได้ต่อเดือน  ไปตลอดชีวิต

      20. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ  (  RETIREMENT  MUTUAL  FUND  /  RMF  )เป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารเงินเกษียณอายุให้ประชาชนทั่วไป  โดยเฉพาะคนที่ทำงานอิสระ  ไม่ได้ทำงานบริษัทหรือรับราชการ  เพื่อให้สามารถเตรียมเงินเกษียณอายุได้อย่างเป็นระบบเหมือนสมาชิกของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพตามบริษัทต่างๆ
      กองทุนนี้  ผู้ลงทุนต้องออกเงินออมแต่เพียงฝ่ายเดียวและมีข้อกำหนดให้  ต้องลงทุนสม่ำเสมออย่างน้อยปีละครั้ง  ไม่น้อยกว่าร้อยละ  3  ของเงินได้ในปีภาษีนั้นหรือไม่น้อยกว่า  5,000  บาทต่อปี  ทั้งนี้  ต้องไม่ขาดการลงทุนในแต่ละกองทุนรวมเกินกว่า  1  ปีติดต่อกัน  โดยกองทุนรวมนี้จะไม่มีการจ่ายเงินปันผล  หรือ  เงินตอบแทนใดๆให้แก่ผู้ลงทุนจะจ่ายเงินทั้งหมดก็ต่อเมื่อผู้ลงทุนแจ้งไถ่ถอน
    ผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี  คือ  ผลตอบแทนการลงทุนไม่ต้องเสียภาษี  และ  เงินลงทุนที่เติมเข้าไปในแต่ละปี  ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้  ตามที่จ่ายจริง  โดยเมื่อรวมเงินลงทุนนี้เข้ากับเงินสะสมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือ  กบข.แล้ว  ต้องไม่เกิน  500,000  บาทในแต่ละปีภาษี
      เงินที่ลงทุนไปทั้งหมดพร้อมผลตอบแทนจะไถ่ถอนได้ก็ต่อเมื่อผู้ลงทุนมีอายุไม่น้อยกว่า  55  ปี  และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า  5  ปี  หรือ  ไถ่ถอนได้ในกรณีผู้ลงทุนทุพลภาพหรือตาย  โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเริ่มในปีเงินได้  2544  เป็นต้นไป
      กรณีผู้ลงทุนทำผิดเงื่อนไข  ไถ่ถอนก่อนข้อกำหนด    สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจากการลงทุน  ในส่วนของ 5 ปีสุดท้ายจะต้องถูกเรียกคืนและผลตอบแทนการลงทุนของ  5  ปีท้ายสุดจะต้องถือเป็นรายได้นำมารวมคำนวณภาษีด้วย
      กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพนี้  สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ทุกประเภท  เช่น  หุ้นสามัญ  ,  หุ้นกู้  ,  พันธบัตร  , เงินฝาก  หรือ  วอร์แรนท์  แต่ผู้ลงทุนสามารถกำหนดได้ว่าจะเลือกลงทุนในกองทุนประเภทใด  และผู้ลงทุนสามารถโอนย้ายกองทุนจาก  RMF  หนึ่งไปยังอีก RMF หนึ่งได้ เพื่อเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับอายุและภาวะตลาดในตอนนั้น

      21.  กรมธรรม์ประกันชีวิต  (  LIFE  INSURANCE  POLICY  )  เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเรื่องการออมทรัพย์และการคุ้มครองในเวลาเดียวกัน  ผลตอบแทนของกรมธรรม์ประกันชีวิต  มักกำหนดไว้คงที่ที่  5-6  %  ต่อปี  จึงเหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบความเสี่ยง  หรือผู้ที่เก็บเงินไม่ค่อยได้  เนื่องจากการเก็บออมโดยการทำประกันชีวิตเป็นวิธีเก็บเงินที่เป็นระบบระเบียบมากที่สุดวิธีหนึ่ง  ผู้ลงทุนต้องเจียดเงินมาเก็บทุกปีเป็นเวลายาวนานถึง  20  ปี  หรือจนครบอายุสัญญา
        สำหรับผู้ลงทุน    ที่ต้องการเก็บเงินเพื่อใช้ยามเกษียณอายุ        มีรูปแบบที่น่าสนใจ 2  แบบคือ  แบบสะสมทรัพย์ซึ่งเป็นการเก็บออมเงินแล้วไปรับเงินก้อน  ไว้ใช้เป็นเงินบำเหน็จเมื่อตอนครบสัญญา  หรือแบบมีเงินได้ประจำ  เป็นแบบเก็บเงินระยะเวลาหนึ่ง  (  ประมาณ 20 ปี  )  หลังจากนั้นไม่ต้องจ่ายเบี้ยประกันอีกแล้ว    แต่จะได้รับเงินบำนาญไว้ใช้ทุกปี  ไปตลอดชีวิต  ซึ่งแบบหลังนี้ยังสามารถป้องกันญาติพี่น้องหรือคนรู้จัก  มาหยิบยืมเงินก้อนสุดท้ายที่จะเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิตได้
        เนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนให้ประชาชนรู้จักเก็บออมเงิน  เพื่อจะได้ดูแลรับผิดชอบตนเองเมื่อตอนแก่  จึงสนับสนุนให้ลดหย่อนภาษีได้ถึงปีละ  100,000  บาท  ดอกผลที่เกิดจากการทำประกันชีวิตทุกบาททุกสตางค์ไม่ต้องเสียภาษี  และยังมีกฎหมายคุ้มครองพิเศษ  ให้เงินสินไหมประกันชีวิตเป็นเงินปลอดหนี้สิน  เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดได้เกินกว่าเบี้ยประกันที่ได้จ่ายไปซึ่งจะแตกต่างจากสินทรัพย์อื่นๆที่จะถูกยึดจากเจ้าหนี้ได้  เมื่อผู้ลงทุนเสียชีวิตไป

      22. อินเวสต์เมนต์ลิงค์  /  ยูนิตลิงค์  (  INVESTMENT  LINKED  /  UNIT  LINK  )คือ  แบบประกันชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมของประกันแบบชั่วระยะเวลา  และ  กองทุนรวมอยู่ในฉบับเดียวกัน  เบี้ยประกันที่จ่ายทุกปี  ได้รวมเบี้ยประกันปกติและเงินลงทุนเข้าไว้ด้วยกันแล้ว แต่ผู้เอาประกันสามารถเพิ่มเงินลงทุนได้ตลอดเวลา  และในเวลาเดียวกันก็สามารถขายหน่วยลงทุนที่ซื้อเพิ่มนี้ได้ทุกเวลาเช่นกัน
        บริษัทประกันจะนำเงินเหล่านี้ไปลงทุนในหลักทรัพย์เหมือนกองทุนรวมทั่วไป  และให้สิทธิลูกค้าเลือกได้ว่าจะลงทุนในกองทุนประเภทใด  ในสัดส่วนเท่าไร  หรือ  จะโอนย้ายประเภทของกองทุนก็ได้เช่นกัน
        เนื่องจาก  อินเวสต์เมนต์  ลิงค์  นับเป็นประกันชีวิตชนิดหนึ่ง  จึงต้องมีขั้นตอนพิจารณา  อายุ  ,  สุขภาพ  ,ฐานะทางการเงิน  เหมือนประกันชีวิตทั่วไป  แต่ก็ได้สิทธิรับความคุ้มครองเงินลงทุนจากเจ้าหนี้  และได้สิทธิประโยชน์เรื่องภาษีเหมือนประกันชีวิตทุกประการ

                เราได้รู้จักหลักทรัพย์ หรือช่องทางการลงทุนข้างต้นแบบคร่าวๆแล้ว  ตอนนี้อยู่ที่ว่าเราสนใจแนวทางการลงทุนแบบไหน  เรามีความชำนาญมากน้อยเพียงใด  หรือ  จะมอบหมายให้นักลงทุนมืออาชีพจากสถาบันการเงินช่วยลงทุนให้เรา

        แต่ที่แน่ๆ  เราต้องจัดพอร์ตการลงทุนให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง  เพราะการลงทุนใดๆล้วนมีความเสี่ยง  ขนาดเงินคงคลังของประเทศที่มีอยู่เป็นแสนล้านยังหายวับไปในชั่วพริบตา  บริษัทเงินทุนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศยังล้มละลายในชั่วข้ามคืน  แล้วเราคิดว่า  ในโลกนี้  ยังมีอะไรที่แน่นอนอีกล่ะ



INSURANCETHAI.NET
Line+