ผมไปเป็นทนายให้แพทย์และพยาบาล
1138

ผมไปเป็นทนายให้แพทย์และพยาบาล

ต้องนั่งฟังหมอเลคเชอร์เรื่องการคลอดและเอาเอกสารวิชาการที่หมอถ่ายไว้ให้มานั่งอ่าน นี่กว่าจะทำคดีนี้จบ ผมคงทำคลอดเองได้เลย ฮ่าๆ 
                วันนี้ผมไปว่าความที่ศาลมาครับ เป็นกรณีที่ผู้ป่วยฟ้องกระทรวงสาธารณสุข แพทย์และพยาบาล เรียกค่าเสียหาย ๑๑ ล้านบาทเศษ กรณีคลอดบุตรแล้วสมองเด็กขาดออกซิเจนทำให้เด็กพิการ ผมเข้ามาเกี่ยวข้องเนื่องจากคดีนี้มีการเรียกค่าเสียหายเกินสิบล้าน อำนาจการพิจารณาสั่งคดีอยู่ที่ท่านรองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีแรงงานเขต ๘เจ้าของสำนวนจึงต้องเสนอสำนวนตามลำดับชั้นจนถึงรองอธิบดีอัยการฯ ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีแพ่งเขต ๘ จึงต้องตรวจผ่านสำนวนนี้
        ในเบื้องต้นพิจารณาคำฟ้องแล้ว ผู้ป่วยฟ้องว่าแพทย์และพยาบาลไม่เอาใจใส่ดูแลในขณะเขาปวดท้องคลอด จนบุตรของเขาออกมาคาอยู่ที่ปากช่องคลอดนานถึง ๔๐ นาที ทำให้บุตรเขาขาดอากาศหายใจ สมองขาดออกซิเจน ทำให้บุตรของเขาพิการทางสมอง แถมพยาบาลคนที่ถูกฟ้องก็มัวแต่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ไม่มาช่วยเขา บอกให้เบ่งคลอดแล้วไม่สอนวิธีเบ่ง เรียกค่าเสียหายจากการที่บุตรพิการไม่สามารถส่งเสียเลี้ยงดูบิดามารดา ๓๕ ปี เป็นเงิน ๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าเศร้าโศกเสียใจอีก ๘๐๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายต่างๆในการเดินทางไปมารักษาบุตร ฯลฯ รวมแล้ว ๑๑ ล้านบาทเศษ
        ผมได้เชิญคุณหมอมาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นประกอบกับเอกสารที่ปรากฏอยู่ในสำนวนและเอกสารที่เกี่ยวกับวิชาการเกี่ยวกับการคลอดบุตร ได้ความรู้เยอะมาก และเราเดาด้วยว่าคนบรรยายฟ้องก็ไม่เข้าใจกระบวนการคลอดบุตร เพราะพวกเราเองอ่านคำฟ้อง อ่านคำชี้แจงแล้ว แรกๆก็มึนกับปากมดลูกขยายกับปากช่องคลอดขยาย มันอย่างเดียวกันไหมว้า....อิอิ การตัดฝีเย็บในขณะปากช่องคลอดบางมากและมองเห็นศีรษะเด็กมีขนาดโตเท่าไข่ห่าน ถ้าตัดฝีเย็บในขณะที่ปากช่องคลอดยังไม่ขยายตัวเต็มที่จะเป็นอันตรายแก่มารดาเด็กได้ คดีนี้คุณหมอตัดฝีเย็บแรกๆเราเข้าใจว่าศีรษะเด็กโผล่ออกมาขนาดเท่าไข่ห่านแล้วหมอจึงตัดฝีเย็บ แต่พอคุยกับหมอจริงๆกลับได้ความว่า ปากมดลูกมารดาเปิดกว้าง ๑๐ เซนติเมตร พร้อมที่จะคลอดแต่ยังไม่คลอด ยังไม่เห็นศีรษะเด็กที่ปากช่องคลอดแต่จำเป็นต้องตัดฝีเย็บเพื่อใช้เครื่องดูด ดูดทารกออกมา พอตัดฝีเย็บไม่ทันได้ใส่เครื่องดูดเด็กก็คลอดพรวดออกมาทันที เลยต้องนั่งฟังหมอเลคเชอร์เรื่องการคลอดและเอาเอกสารวิชาการที่หมอถ่ายไว้ให้มานั่งอ่าน นี่กว่าจะทำคดีนี้จบ ผมคงทำคลอดเองได้เลย ฮ่าๆ
        ทราบมาว่าในการนัดไกล่เกลี่ยครั้งที่ผ่านมา มารดาเด็กไม่อยากฟ้องหมอเพราะหมอดูแลผู้ป่วยดีมาก แต่หมั่นไส้พยาบาล หมออยากให้เรื่องจบยอมควักกระเป๋าจ่ายให้ส่วนตัวสองแสนบาท มารดาเด็กก็ไม่เอา อยากจะเอาจากพยาบาลเพราะเจ็บใจที่ไม่ยอมมาช่วยในขณะที่ตัวเองปวดท้องคลอดมัวแต่นั่งเล่นคอมพิวเตอร์ และเขาก็บรรยายฟ้องในส่วนนี้ไว้ด้วย ผมจึงต้องหาข้อมูลว่าพยาบาลนั่งเล่นคอมฯหรือเขาทำงาน ก็ได้ความว่าพยาบาลคนที่ถูกฟ้องไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบผู้ป่วยรายนี้แต่เป็นพยาบาลอีกท่านหนึ่ง และพยาบาลท่านดังกล่าวก็ดูแลผู้ป่วยอย่างดีแต่จะให้ถึงขนาดนั่งเฝ้าผู้ป่วยรายนี้คนเดียวคงไม่ได้ เพราะในวันดังกล่าวมีการคลอดต่อเนื่องหลายราย หมอก็กำลังทำคลอดท่าก้น (ฮ่าๆ..อย่านึกว่าหมอทำคลอดแล้วทำก้นกระดก  อิอิ) คือมีผู้ป่วยอีกรายกำลังจะคลอดแต่เด็กอยู่ในท่าเอาก้นออกจากช่องคลอด ซึ่งอันตรายกว่าการคลอดของผู้เสียหายซึ่งเป็นการคลอดธรรมดาและเป็นท้องที่สองแล้วด้วยหมอทำคลอดท่าก้นเสร็จก็วิ่งมาจัดการมารดาเด็กในคดีนี้เลย จะว่าช้าก็ไม่ช้าได้มาตรฐานการรักษาทุกประการ การคลอดท้องแรกให้เวลาในการคลอดถึง ๑๒๐ นาที ส่วนการคลอดบุตรท้องต่อๆมาให้เวลาไม่เกิน ๖๐ นาที ถ้าตามเวลาดังกล่าวเด็กยังไม่คลอดออกมาแพทย์จะต้องช่วยดำเนินการให้ออกมาแล้วครับ แต่ผู้ป่วยรายนี้ไม่ยังไม่เกินเวลามาตรฐาน
        พยาบาลคนที่ถูกฟ้องมีหน้าที่ดูแลคนไข้อีกส่วนหนึ่ง(คนละโซนกัน แต่บางทีเธอก็มาช่วยคนไข้ข้ามโซน) เมื่อเวลาเด็กคลอดออกมาแล้ว ก็หมดหน้าที่สูตินรีแพทย์ เด็กและมารดาจะถูกส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทาง ในขั้นตอนนี้ก่อนส่งตัวไปก็ต้องมีการลงทะเบียนในเครื่องคอมพิวเตอร์ ป้อนข้อมูลเด็กมารดาเด็ก ยาที่หมอสั่ง รายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ไม่เช่นนั้นแล้วแพทย์พยาบาลที่รับไปต่อจะไม่มีข้อมูลการรักษาพยาบาล ก็ต้องถือว่าเขาทำงานส่วนที่เขารับผิดชอบอยู่ ไม่ใช่เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ (คำว่าเล่นคอมฯในความหมายของผู้ป่วย คงหมายถึง พยาบาลอยู่ว่างๆคนไข้แหกปากร้องก็ไม่ดูแล มัวแต่นั่งเล่นเกมส์หรืออินเทอร์เน็ต หรือแชท เรื่องไร้สาระ ทำนองนั้น เธอถึงได้แค้นนักหนา เพราะไม่เข้าใจว่าพยาบาลคนที่ถูกฟ้องเขาทำหน้าที่อะไร)
        ผมร่างคำให้การสู้คดีในส่วนของการคลอดที่ฝ่ายโจทก์เขาบรรยายว่าศีรษะเด็กมาคาที่ปากช่องคลอดนาน ๔๐ นาที ทำให้เด็กขาดอากาศหายใจว่าไม่ใช่หรอก เพราะในขณะที่กระบวนการคลอดยังไม่สมบูรณ์เด็กยังอยู่ในครรภ์มารดา เด็กยังไม่หายใจเพราะเด็กยังอาศัยออกซิเจนจากรกที่เชื่อมระหว่างแม่สู่ลูกต่างหาก ดังนั้นที่ว่าศีรษะเด็กมาคาอยู่ปากช่องคลอด ศีรษะถูกบีบจนออกซิเจนไปเลี้ยงสมองไม่ได้นั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน และมีการต่อสู้ถึงการปฏิบัติของแพทย์และพยาบาลตามมาตรฐานวิชาชีพ ทั้งมาตรฐานของโรงพยาบาลและมาตรฐานสากล และอีกหลายข้อ
        ที่สำคัญผมตัดฟ้องว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องแพทย์และพยาบาลให้รับผิดเป็นส่วนตัวไม่ได้ เพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าแพทย์กับพยาบาลปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อไม่เอาใจใส่ดูแล จึงต้องว่ากันไปตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๕ ซึ่งบัญญัติว่า
“หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหายในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้”
        เรื่องนี้เคยไปบรรยายให้แพทย์พยาบาลฟังทั้งที่โรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลเอกชนตั้งแต่ยังเป็นอัยการจังหวัดประจำกรม หลายคนมาบอกว่าค่อยใจชื้นหน่อยที่มีกฎหมายตัวนี้ วันนี้ได้ใช้จริงและเห็นผล เพราะศาลก็เห็นด้วยกับข้อต่อสู้ที่เราสู้ให้หมอและพยาบาล ศาลท่านถามความเห็นทนายโจทก์ว่ามีความเห็นอย่างไร จะถอนฟ้องไปหรือไม่ เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนตามข้อต่อสู้ของฝ่ายจำเลยที่ ๒ และ ๓ แต่ถ้าไม่ยอมถอนศาลก็จะใช้มาตรการตาม พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๑๘
“ภายใต้บังคับของกฎหมายว่าด้วยความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัยการยื่นคำฟ้องตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆในคดีผู้บริโภคซึ่งดำเนินการโดยผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงแต่ไม่รวมถึงความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นที่สุด
ถ้าความปรากฏแก่ศาลว่าผู้บริโภคหรือผู้มีอำนาจฟ้องคดีแทนผู้บริโภคนำคดีมาฟ้องโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรเรียกร้องค่าเสียหายเกินสมควร ประพฤติตนไม่เรียบร้อยดำเนินกระบวนพิจารณาอันมีลักษณะเป็นการประวิงคดีหรือที่ไม่จำเป็นหรือมีพฤติการณ์อื่นที่ศาลเห็นสมควรศาลอาจมีคำสั่งให้บุคคลนั้นชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ได้รับการยกเว้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วนต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดก็ได้หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ศาลมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ”
ศาลถามทนายโจทก์ว่ารู้อยู่แล้วใช่ไหมเกี่ยวกับกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ทนายก็ตอบว่ารู้ ศาลก็เลยให้ทนายคิดว่าจะเอาอย่างไร ทนายโจทก์ก็เลยยอมถอนฟ้องจำเลยที่ ๒,๓ ออกจากคดี (เพราะคดีคุ้มครองผู้บริโภคเขามีเจตนาให้ชาวบ้านฟ้องง่าย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมศาล แต่บางทีก็มีฟ้องแบบป่วนไปหมดทุกคนเกี่ยวนิดเกี่ยวหน่อยก็ฟ้องหมด เสียเวลาเสียค่าใช้จ่ายสำหรับคนถูกฟ้องเหมือนกัน ถ้าไม่มีมาตรการข้างต้นกำหนดไว้ผมว่าคดีเต็มศาลบานเบอะแน่นอนครับ)เหลือแต่กระทรวงสาธารณสุข จำเลยที่ ๑ ที่เราจะต้องมาว่ากันต่อ
โดยความเป็นจริงแล้ว พวกเราหาได้มีเจตนาจะต้องต่อสู้เอาแพ้ชนะกันไม่ เพราะผู้เสียหายเขาก็ได้รับความเสียหายลูกพิการทางสมอง มันจะเกิดจากอะไรก็แล้วแต่ถ้าเราไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าความเจ็บป่วยของเด็กเกิดจากปัญหาทางร่างกายของมารดาเด็กหรือเด็กโดยตรงแล้ว ผมว่ากระทรวงสาธารณสุขควรจ่ายค่าชดเชยให้กับมารดาเด็กตามสมควร ผมทราบมาว่า สปสช.เขาจ่ายให้มารดาเด็กไปแล้ว ๒๐๐,๐๐๐ บาท หากจะเรียกร้องอีกก็ควรจะดูที่ความเหมาะสม
ผมเขียนเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงปัญหาสังคมในอนาคต เรากำลังออกกฎหมายตามก้นฝรั่ง เราฟ้องแพทย์พยาบาลเพราะถือว่าเป็นผู้ให้บริการ ในขณะที่ผู้ป่วยเป็นผู้บริโภค ถามสักนิดเถอะว่า แพทย์พยาบาลบ้านเราเหมือนกับแพทย์ทางตะวันตกไหม จะเอาแบบเขาไหมครับ แพทย์รักษาผู้ป่วยได้ไม่เกินวันละ ๒๐ คน เขาเรียกค่ารักษาพยาบาลสูงมาก ปวดฟันไปหาหมอ หมอนัดทำฟันอีกทีปีหน้า จะเอาอย่างนั้นไหมครับ เวลาถูกฟ้องก็ถูกเรียกค่าเสียหายสูงมากเช่นกัน แล้วบ้านเราในแต่ละวันแพทย์รักษาผู้ป่วยวันละกี่คนมีใครตอบผมได้ไหม เกินมาตรฐานอเมริกันกี่เท่าตัว รายได้เดือนละกี่ตังค์ครับ  ไม่รักษาก็ถูกฟ้อง ฟ้องแล้วผิดพลาดต้องชดใช้ค่าเสียหาย ผมไม่ได้เข้าข้างหมอ แต่ทำกับหมอและพยาบาลอย่างนี้เป็นธรรมกับหมอและพยาบาลไหม..ถามสักคำเหอะ.....

ใน พรบ.วิธีพิจารณาคดีคุ้มครองผู้บริโภคได้กำหนดให้ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่ผู้ให้บริการครับ ดังนั้นคดีนี้กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องมีหน้าที่ในการพิสูจน์ว่าเหตุมิได้เกิดจากการทำคลอด เราคงไม่ต้องหยิบเรื่องข้อสันนิษฐานตามความเป็นจริงในกฎหมายใหม่มาใช้กระมังครับ เพราะผลมันเท่ากับที่เขียนไว้ในวิธีพิจารณาคดีคุ้มครองผู้บริโภค ครับ ผมเห็นอย่างนี้นะครับ แต่ก็ยินดีรับฟังความคิดเห็นโต้แย้งนะครับ

เรื่องความเข้าใจผิดที่คนไข้มีต่อแพทย์และพยาบาลมีหลายเรื่องครับ ทั้งในเรื่องนี้ปัญหาส่วนหนึ่งก็เกิดจากคำพูดของพยาบาลด้วย เพราะข้อมูลลึกๆก็คือ เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้วมีอาการสมองพิการ พยาบาลพูดว่า "เด็กออกมาคาอยู่นาน" ปัญหาก็คือจริงๆแล้วปากมดลูกเปิดเต็มที่ แต่เด็กไม่คลอดออกมา เด็กยังไม่ออกมาคาที่ปากช่องคลอด ผู้ป่วยเองก็คงรู้สึกตึงบริเวณช่องคลอดก็เลยเข้าใจว่าศีรษะเด็กมาคาอยู่ที่ปากช่องคลอดตั้งนานแต่แพทย์ไม่ทำอะไร แต่พอไปดูเกณฑ์มาตรฐานสำหรับผู้ป่วยท้องนี้ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเร่งด่วนจัดการเสียด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ยังไม่จบในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขก็คงต้องว่ากันต่อครับ

ผมเขียนเรื่องนี้เพราะมองปัญหาการฟ้องแพทย์และพยาบาลมันค่อนข้างจะทำลายความรู้สึกที่ดีระหว่างคนไข้กับหมอและพยาบาล และเห็นว่าหมอกับพยาบาลไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีที่ต้องรับภาระดูแลรักษาคนป่วย พยาบาลเพื่อนผมอายุก็ไม่น้อยแล้วยังต้องเข้าเวรเช้า-ดึก เช้า-บ่าย ไม่ค่อยได้ออฟ บางวันถูกตามตัวมาเข้าเวรตอนดึกอีก คนเรามันก็มีอาการล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจครับ มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร หมอเข้าเวรตรวจกว่าจะได้กินข้าวแต่ละท่านก็โผเผ คนไข้ชุดแรกๆยังมีซักถามอาการพูดคุยอธิบาย ชุดหลังๆก็เหลือเพียงแค่ซักถามอาการ พอไปถึงคนที่ ๕๐ หมออาจจะอ้าปากไม่ขึ้นแล้ว

ความจริงแล้วกฎหมายความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่มีมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ แล้วละครับ แต่บางทีหมอกับพยาบาลมัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานเลยไม่รู้ว่ามีตัวช่วย แต่ที่หนักหนาสาหัสก็คือมีการฟ้องคดีอาญาหมอกับพยาบาลด้วย ซึ่งตรงนี้ผมไม่เห็นด้วยอย่างมากกับการที่หากหมอและพยาบาลปฏิบัติงานตามหน้าที่แล้วเกิดความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายของผู้ป่วยแล้วหมอกับพยาบาลถูกฟ้องคดีอาญาครับ


ความจริงแล้วผมถูกสั่งให้เข้ามาในคดีก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายครับ และท่านรองอธิบดีเน้นให้ผมพยายามประนีประนอมยอมความเพื่อให้ชนะด้วยกันทั้งคู่ ไม่ให้เอาแพ้ชนะกัน

ผมเห็นด้วยกับอาจารย์เป็นอย่างยิ่งว่า "หากตรงนั้นพร่องไปและ case นี้ได้ตัดสินใจเลือกที่จะฝากตัวให้ได้รับการดูแล แน่นอนว่าเพื่อให้ตัวเองและลูกปลอดภัย จากองค์กร (กระทรวงสาธารณสุข) และความพร่องนั้นได้เกิดขึ้นจากระบบขององค์กร ผมมองว่าองค์กรนั้นต้องรับผิดชอบนะครับ และหากเมื่อผู้ปฏิบัติงานให้องค์กรได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ควรจะต้องมารับผิดชอบด้วย" ผมไม่เคยคิดว่าจะให้กระทรวงสาธารณสุขชนะคดีโดยไม่ต้องจ่าย แต่ที่ผมเขียนเรื่อง สปสช.จ่ายไปแล้ว ๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นข้อมูลให้เกิดการใช้ดุลยพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนในอนาคตเพราะเวลาพูดในศาลทนายโจทก์ไม่ยอมพูดถึงเงินที่ได้รับไป ไม่ยอมพูดถึงข้อเสนอของแพทย์ที่เสนอจ่ายเงินส่วนตัวให้อีก ๒๐๐,๐๐๐ บาทอีกต่างหาก ทั้งๆที่แพทย์ท่านนี้มิได้ประมาทเลินเล่อในการรักษาพยาบาลแต่อย่างใด พูดแต่ว่าที่ตกลงไม่ได้เพราะฝ่ายจำเลยไม่ยอมจ่าย ซึ่งมันไม่ใช่ และในความเป็นจริงผู้ป่วยก็ไม่ได้อยากฟ้องแพทย์เพราะการเอาใจใส่ดูแลรักษาของแพทย์

มันมีข้อมูลที่ผมไม่อาจเปิดเผยในบันทึกนี้ได้เนื่องจากคดียังไม่เสร็จและเชื่อว่าการดำเนินการของแพทย์ที่ถูกฟ้องได้ดำเนินการไปตามหลักวิชา ตามตำราทางการแพทย์ ตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่เป็นสากล ตามมาตรฐานกลางและมาตรฐานของโรงพยาบาล ความผิดพลาดมันน่าจะเกิดจากจุดอื่น ซึ่งเขาไม่ได้ฟ้อง

คำว่าเจ้าหน้าที่ในความหมายนั้น ผมเห็นว่าน่าจะหมายถึงใครก็ตามที่ถูกสั่งงานโดยผู้บริหารให้ไปปฏิบัติหน้าที่ไม่ว่าผู้สั่งการจะเป็นผู้บริหารระดับใด แต่น่าจะหมายถึงผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในงานนั้นๆตามที่ตัวเองต้องรับผิดชอบตามคำสั่ง case นี้เขาฟ้องพยาบาลที่ไม่ใช่พยาบาลผู้รับผิดชอบ เพราะคำสั่งกำหนดหน้าที่พยาบาลเวรแต่ละท่านไว้ชัดเจนแล้ว ว่าหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละท่านเป็นอย่างไร การฟ้องเหมารวมผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าเมื่อเข้าๆไปในโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล พยาบาลคนใดไม่ช่วยรักษาเขาก็จะต้องถูกฟ้องอย่างนั้นหรือ หรือเราจะตีความแบบตำรวจว่า ตำรวจเป็นตำรวจ ๒๔ ชั่วโมง แม้เวลาพักร้อนก็ต้องถือว่าปฏิบัติหน้าที่เป็นตำรวจ

อ้อ..อีกนิดหนึ่งครับที่อาจารย์บอกว่า "หาก case ได้รับการตัดสินใจว่าต้องผ่าออกตั้งแต่ต้น และทันเวลา จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดได้ไหม การตัดสินใจที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ไม่มีสัญญาณบอกเลย หรือมีแต่ตรงนั้นพร่องไป " ผมเข้าใจดีว่ากระทรวงสาธารณสุขปฏิเสธไม่ได้หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาเนื่องจากแพทย์มีไม่พอ เพราะในวันเกิดเหตุมีผู้ป่วยที่กำลังจะคลอดท่าก้นอีกเตียงหนึ่งซึ่งแพทย์มีท่านเดียวต้องไปจัดการ ในขณะที่โจทก์กำลังปวดท้องคลอด และผมว่าแพทย์เข้าใช้ดุลยพินิจในการรักษาสมเหตุสมผล เนื่องจากโจทก์คลอดบุตรท้องที่สองไม่ใช่ท้องแรก ปัญหาระหว่างคลอดย่อมจะน้อยกว่าท้องสาวที่กำลังคลอดท่าก้น และ case นี้ไม่จำเป็นต้องผ่าด้วย เพียงแต่หลังจากหมอทำคลอดท่าก้นเสร็จแล้วก็มาจัดการกับโจทก์ทันที และเมื่อเห็นว่าปากมดลูกเปิดเต็มที่แต่ยังไม่คลอดเพราะแรงเบ่งของแม่ไม่ดี ก็เลยตัดสินใจตัดฝีเย็บเพื่อจะใส่เครื่องดูด เด็กก็คลอดออกมาเลย แต่ปัญหาอาจเกิดจากการใช้ยาก็ได้อีกเหมือนกันซึ่งผมก็เห็นว่ากระทรวงสาธารณสุขอาจต้องรับผิดชอบ บันทึกนี้เพียงแต่เน้นในเรื่องที่ไม่ควรฟ้องหมอและพยาบาลเป็นการส่วนตัวเท่านั้นครับ

ขอบคุณ อ.ชายขอบ มากๆที่มาแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดความรู้ในทางสาธารณสุขและนิติศาสตร์ร่วมกันครับ ขอบคุณด้วยความจริงใจครับ

..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/280726



INSURANCETHAI.NET
Line+