อิมมูนบำบัด
116

อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด(1)

อิมมูนบำบัด TUMOR IMMUNOLOGY TUMOR IMMUNOLOGY
มะเร็ง (Malignant tumors, cancer) เป็นเซลล์ที่เจริญเติบโตโดยควบคุมไม่ได้ เซลล์มะเร็งจะบุกรุกเนื้อเยื่อปกติ และแพร่กระจาย (Metastasize) ไปเจริญเติบโตในตำแหน่งที่ไกลจากเนื้อเยื่อจุดกำเนิด โดยทั่วไปมะเร็งจะเริ่มจากเซลล์ปกติเพียงเซลล์เดียวหรือ 2-3 เซลล์ ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติไป ซึ่งเรียกว่า Malignant Transformation

มะเร็งพบเกิดได้กับเนื้อเยื่อส่วนใดของร่างกายก็ได้ มะเร็งที่เกิดกับ epithelial cells จะเรียกว่า carcinomas
มะเร็งที่เกิดกับ mesenchymal tissues จากเซลล์พวก fibroblast, muscles cells และ fat cells เรียก Sarcomas
ก้อนมะเร็งที่เกิดกับต่อมน้ำเหลืองเรียก ว่า lymphoma
มะเร็งของเซลล์เม็ดโลหิตเรียกว่า leukemias

ตามทฤษฏีแล้วหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันคือต้องสามารถ ตรวจพบและทำลายเซลล์ที่เปลี่ยนแปลง เป็นเซลล์มะเร็งก่อนที่จะเจริญเป็น ก้อนมะเร็งลุกลามได้ เรียกว่ามี lmmunosurveillance ซึ่งเป็นสมมุติฐาน ที่เสนอโดย Burnet และ Thomasในค.ศ.1950-60 โดยทั่วไปมีการตอบ สนองทาง ภูมิคุ้มกันต่อเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นแม้ว่าจะพบก้อนเนื้อมะเร็งแล้ว แสดงว่าเซลล์มะเร็งมีการแสดง ลักษณะเป็นเสมือนสิ่งแปลกปลอมหรือ แอนติเจนได้ ซึ่งเรียกว่าเป็น Tumor Antigens ดังนั้นถ้าทฤษฏี Immunosurveillance เป็นจริงจะต้องมีการพบว่ามี B-cells, Helper T-cells, Cytolytic T Lymphocytes (CTLs) หรือ Natural killer (NK) cells ซึ่งจดจำและตอบสนองฆ่าเซลล์มะเร็งได้ ในการตรวจชิ้นเนื้อดูมักพบว่ารอบๆ ก้อนมะเร็งมีเซลล์ชนิด Mononuclear cells มาชุมนุมซึ่งพบว่ามีทั้ง T-cells, NK Cells และ Macrophage การชุมนุมของเซลล์เหล่านี้รอบก้อนมะเร็งอาจเกิดหลังจาก มีการทำลายเนื้อเยื่อโดย เซลล์มะเร็งแล้วและมักพบบ่อยในมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งที่ testis, thymus เต้านม และมะเร็ง Melanomas หลักฐาน ที่พบอีกอย่างคือมักพบมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณที่ใกล้เคียงกับก้อนมะเร็ง และยังพบว่ามี cytokines ที่ออกฤทธิ์ต่อมะเร็งเช่นมี class II MHC expressionในเซลล์มะเร็งและเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งแสดง ว่า กำลังมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อเซลล์มะเร็งอยู่ ในช่วงต้นๆ คิดกันว่า CTLs มีบทบาทสำคัญใน Immunosurveilance แต่ในปัจจุบันพบว่า CTLs สำคัญในการกำจัดการติดเชื้อไวรัสมากกว่า
จากการประเมินสมมุติฐานเกี่ยวกับ Immunosurveilance พบว่าเป็นจริง ในมะเร็งบางชนิดแต่ไม่ทุกชนิดตัวอย่างเช่นถ้าระบบภูมิคุ้มกันมีบทบาทใน การป้องกันการ เกิดมะเร็งจริงเราจะพบว่าคนที่มีสภาพภูมิคุ้ม กันบกพร่อง เท่านั้นที่เกิดโรคมะเร็งขึ้นบ่อยๆ แต่พบว่าไม่เป็นความจริงในกรณีมะเร็ง ของลำไส้ใหญ่ปอดและเต้านมอย่างไรก็ดีพบว่ามีภูมิคุ้มกัน บกพร่องหรือ ถูกกดระบบภูมิคุ้มกันด้วยมีอัตราการเกิดมะเร็งที่เกิดจากไวรัสก่อนมะเร็ง มากขึ้นอย่างเห็น ได้ชัด แนวคิดที่ว่าระบบภูมิคุ้มกันมีการตอบสนองต่อ มะเร็งจึง ทำให้เป็นแรงกระตุ้นให้เกิด Tumor immunology เกิดขึ้นซึ่ง แขนงวิชานี้มีการศึกษา specific acquired immune response ต่อ มะเร็ง Tumor Antigens ที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน กลไกในการฆ่าเซลล์มะเร็ง วิธีการทางอิมมูโนในการตรวจหาการวินิจฉัย การรักษาโรคมะเร็ง กลไก ของภูมิต้านทานต่อต้านมะเร็ง (Effector Mechamisms in Anti-tumor Immunity) Tumor antigens สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทางทั้งชนิด Humoral และ cell mediated ซึ่งสามารถแสดงได้ทั้งในหลอดทดลอง ในสัตว์ ทดลองและในมนุษย์ว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด(2)

1. การสร้าง antibody ตอบสนอง พบมีการสร้าง Ab ตอบสนองต่อ tumor antigens เช่น Tla Ag ในหนูที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว และพบ การสร้าง Ab ต่อ EBV-coded antigens บนมะเร็งของต่อมน้ำเหลือง (lymphoma)แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าAbมีผลในการยับยั้งการเจริญของ ก้อนมะเร็งแต่ในการทดลอง ในหลอดทดลองพบว่า antibody สามารถฆ่า มะเร็งได้โดยกลไกของ Antibody dependent cell mediated cytotoxicity (ADCC) โดย Macrophage หรือ NK cells

2. Cytolytic T-lymphocytes (CTLs) เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพใน การต่อต้านเซลล์มะเร็งในสิ่งมีชีวิต เซลล์ที่ทำหน้าที่หลักคือ CTLs ซึ่งจะทำ หน้าที่โดยอาศัย Class I MHC restricted

3. Natural Killer cells (N cells) NK cell เป็นเซลล์ที่ทำให้เซลล์มะเร็ง แตกสลายได้โดยมีกลไกคล้ายกับ CTLs แต่เป็นแบบที่ไม่ต้องอาศัย MHC ในหลอดทดลองพบว่าNKฆ่าได้ทั้งเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสและเซลล์มะเร็ง และ ฆ่าเซลล์ที่เคลือบด้วย Ab ได้ด้วยเนื่องจากมี Fc-receptor บนผนังของ NK สารที่กระตุ้นให้ NK cell มีความสามารถในการฆ่าเซลล์มะเร็งเพิ่มขึ้น คือ Interferons, Tumor Necrosis Factor (TNF) และ Interleukin-2 (IL-2) ดังนั้น การทำงานของ NK จึงต้องอาศัยการกระตุ้น จาก T-cells และ Macrophage ซึ่งสร้างและหลั่ง cytokines เหล่านี้ ออกมา เซลล์ที่ถูกกระตุ้นแล้วเรียกว่า Lymphokine activated killer (LAK) cells ปกติพบว่าอัตราการพบมะเร็งที่ขึ้นเองมีน้อย NK cell จึง อาจจะมีบทบทสำคัญในการป้องการเกิดมะเร็ง

4. Macrophages เป็นเซลล์ที่สำคัญในการต่อสู่กับเซลล์มะเร็ง macrophages มี Fc receptor เช่นเดียวกับ NK cell จึงสามารถฆ่า เซลล์มะเร็งที่มี Ab เคชือบอยู่ได้ การฆ่าเซลล์มะเร็งทำโดยกลไกเช่นเดียว กับการกำจัดเชื้อโรค คือมีการหลั่ง Lysosomal Enzymes และ Reactive Oxygen Metabolites รวมทั้ง Nitric oxide Activated macrophages สามารถหลั่ง TNF ซึ่งฆ่าเซลล์มะเร็งได้โดยไมทำ อันตรายต่อเซลล์ปกติพบว่า TNF เป็นตัวการสำคัญที่ฆ่าเซลล์มะเร็ง กลไกการทำงานของ TNF คือ

1. การเกาะของ TNF กับ High Affinity Cell Surface Receptors เป็นพิษโดยตรงกับเซลล์มะเร็งโดยมีการเกิด Free Radicals เซลล์ปกติจะ มีเอ็นซัยม์ Superoxide Dismutase ซึ่งลบล้างฤทธิ์ Free Radicals ได้ นอกจากนี้อาจเกิดจากการทำลายโปรตีนโครงสร้างของเซลล์และ รบกวนการสร้าง Gap Junction ของเซลล์มะเร็ง

2. TNF ทำให้ก้อนมะเร็งตายโดยทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็งอุด ตันจึงเน่าจายไปปัจจุบันพบว่ามี TNF 2 ชนิดคือ TNF-a และ TNF-b ซึ่ง เป็นโปรตีนที่มีความคล้ายกันโดย code จาก class III Region ใน MHC มี 28% Sequence Homology การหลบหลีกภูมิต้านทานของเซลล์มะเร็ง

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด(3)

1. โฮสต์อาจมีภาวะไม่ตอบสนอง (Tolerant) ต่อ Tumor Antigens เช่น เคยได้พบเซลล์มะเร็งตั้งแต่แรกเกิดทำให้ร่างกายแยกไม่ได้ว่าเป็นเซลล์มะ เร็งหรือเวลล์แปลกปลอมเลยยอมรับเซลล์นั้นตลอดมาหรืออาจเกิดจากได้รับ แอนิเจนหรือเซลล์มะเร็งมากเกินไปจึงเกิดการเปลี่ยนทางภูมิคุ้มกัน

2.การเพิ่มจำนวนของมะเร็งที่เกิดขึ้นเร็วอาจทำให้เกิดเซลล์มะเร็งที่ดื้อต่อ ระบบภูมิคุ้มกันก่อนที่จะมีภูมิค้มกันที่มีประสิทธิภาพมากำจัด

3. ภูมิต้านทางต่อเซลล์มะเร็งที่เกิดขึ้นทำให้มีการคัดเลือกเซลล์มะเร็งที่สูญ เสียลักษณะที่กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ไป เซลล์พวกนี้จะเจริญเติบโตต่อไป

4. มีการบดบังการแสดงออกของ tumor antigen โดยการเกาะของแอนติ บอดีย์ เรียกว่ามี Antigenic Modulation ยังอาจเกิดจาก Endocytosis หรือ Shedding ของ Ag-Ab complex

5. Ag ที่เซลล์มะเร็งปลดปล่อยออกมาและ Ag-Ab complex ถือว่าเป็น Blocking Factor ที่รบกวนระบบภูมิคุ้มกันต่อมะเร็งเช่นอาจจะไปกีดกัน Fc receptor ของ NK cell หรือชักนำให้เกิด suppressor cells ขึ้น

6. ผิวเซลล์มะเร็งอาจซ่อนจากระบบภูมิคุ้มกันโดย Glycocalyx Molecule เช่น sialic Acid ที่มีส่วนประกอบเป็น Mucopolysacoharides เรียกว่า Antigen Masking ซึ่งอาจเป็นไปได้ ว่าเซลล์มะเร็งจะมีสารเหล่านี้มากกว่าเซลล์ปกติ นอกจากนี้เซลล์มะเร็ง อาจกระตุ้นให้เกิด Fibrin มาห้อมล้อมตัวมันเองได้เหมือนดักแด้เรียก Fibrin coccoon

7. เซลล์มะเร็งและสารที่สร้างขึ้น รวมทั้งสารเคมี สภาพทางกายภาพหรือ การติดเชื้อ ซักนำให้เกิดการกดระบบภูมิคุ้มกัน (Immunosuppression) เช่น Transforming growth Factor-b ซึ่งหลั่งจากเซลล์มะเร็งหลายชนิด สามารถยับยั้งการทำงานของ Lymphocyte และ Macrophage Immunotherapy of Tumor (อิมมูนบำบัดของโรคมะเร็ง)

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด(4)

1. Stimulation of Immune Effectors ในโรคมะเร็งที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสพบว่าสามารถกลดอัตราการเกิดมะเร็ง ได้โดยการฉีดกระตุ้นด้วย Virus Antigens ซึ่งในสัตว์หลายชนิดพบว่าได้ ผล เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวในแมว มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในแกะในคนเชื่อ ว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีมีผลในการลดอัตราการ เกิด โรคมะเร็งตับนอกจากนี้มีการในอิมมูนบำบัดต่อโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นแล้ว โดยการกระตุ้นแบบไม่จำเพาะ เช่นการฉีด BCG ที่ก้อนมะเร็งเพื่อกระตุ้น Macrophage ให้มาทำลายก้อนมะเร็งนั้น

2. Antibody Therapies มีการใช้แอนติบอดีย์จำเพาะต่อแนอติเจนของ เซลล์มะเร็งในอิมมูนบำบัดหลายวิธีการด้วยกันคือ
2.1 Anti-ldiotypic Antibodies มีการใช้ในการรักษามะเร็งต่อมน้ำ เหลืองชนิด B-cell Iymphomas ที่มีการแสดง Surface Immunoglobulin ที่ผิวเป็น Idiotype ซึ่งจะจำเพาะมากเฉพาะกลุ่ม (Clone) ของ B cell เท่านั้น การผลิต Antitdiotype Antibodies ทำ โดยฉีดกระตุ้นกระต่ายด้วยเซลล์มะเร็ง (B-cell Tumor) ของผู้ป่วยแล้วทำ การ Absorp Serum ให้เหลือแต่ Anti-Idiotype Ab, หรือโดยการ ผลิตโมโนโคลนอลแอนติบดีที่เป็น Anti-Idiotype การทำลายเซลล์มะเร็ง โดยวิะ นี้ทำโดย Complement Fixation หรือโดยวิธี ADCC

2.2 Antibodies ต่อ Growth Factor Receptors (IL-2 Receptors) ซึ่งมีการทดลองใช้ในมะเร็งเม็ดโลหิตขาวและต่อมน้ำเหลืองที่เกิดจาก HTLV-1 โดยเชื่อว่าเซลล์มะเร็งมี Receptor สำหรับ IL-2 ถ้ายับยั้งการ เกาะของ IL-2 ก่อนก็จะทำให้เซลล์มะเร็งไม่เจริญแบ่งตัว วิธีนี้ได้ผลเพียง เล็กน้อยและอาจมีผลต่อเซลล์ปกติด้วย

2.3 Antibodies จำเพาะต่อ Oncogene Product ซึ่งมีผลต่อการ Transform เซลล์มีการทดลองใช้ Monoclonal Antibodies ต่อโปรตีน Oncogene ในหนู Miceทำให้ไม่เกิดการ Transform เซลล์

2.4 Anti
2.5 Heteroconjugate Antibodies ใช้แอนติบอดีย์ที่จะเพาะต่อ Tumor Antigen ที่เชื่อมเข้ากับโมเลกุลแอนติบอดีย์ที่จะเพาะต่อโปรตีนที่ ผิวของ Cytotoxic Cells เช่น NK cells หรือ CTLs เช่น (Anti-CD3) วิธีการนี้จะดึง NK cells หรือ CTLs ให้เข้าทำลายเซลล์มะเร็งได้มากขึ้น

2.6 ใช้แอนติบอดีย์ที่เชื่อมกับฮอร์โมน ใช้กับเซลล์มะเร็งที่มี Hormone receptor เช่นใช้ Anti-CD3 เชื่อมกับ Melanocyte Stimulating Hormone ซึ่งจะช่วยเร่งให้ CTLs เข้าทำลายเซลล์มะเร็งชนิด Melanoma อีกวิธีหนึ่งคือใช้ Genetic Engineering สร้าง fusion Protein ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นทั้งสารพิษและสามารถเกาะกับเซลล์มะเร็งได้

2.7 ลดจำนวนเซลล์มะเร็งในไขกระดูกในหลอดทดลองโดยใช้แอนติบอดีย์ วิธีนี้มีการทดลองใช้กับโรคมะเร็งชนิ B-cell lymphoma วิธีการคือนำ เซลล์ไขกระดูกผู้ป่วยออกมาไว้ในหลอดทดลองแล้วฉายรังสีหรือให้ Chemotherapy ทำลายเซลล์ทั้งหมดในไขกระดูกผู้ป่วยเซลล์ไขกระดูกผู้ ป่วยที่นำออกมาก่อนเอามาผสมกับแอนติบอดีย์ ต่อเซลล์มะเร็งและเติมคอม พลีเมนท์ลงไปเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง จากนั้นฉีดเซลล์นี้กลับเข้าในผุ้ป่วย เพื่อเข้าไปแทนเซลล์ไขกระดูกที่ถูกทำลายหมดไปก่อน Adoptive Cellular Immunotherapy หมายถึงการนำเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งที่นำมาเพาะเลี้ยง ในหลอดทดลองฉีดกลับเข้าไปในผู้ป่วย ที่เป็นมะเร็ง มีการทดลองใช้ในคน อยู่ 2 แบบคือ

1. Lymphokine-Activated Killer (LAK) Cell Therapy ทำโดยการ เพาะเลี้ยง LAK cells ในหลอดทดลอง วิธีการคือนำเซลล์เม็ดเลือดขาวจาก เลือดผู้ป่วยมะเร็งมาเพาะเลี้ยงและใส่ IL-2 ลงไปกระตุ้น แล้วฉีดกลับเข้าไป ในผู้ป่วยซึ่งคาดว่าเป็น NK cell ในการทดลองในคนมักใช้ผู้ป่วยมะเร็งที่ อยุ่ในระยะสุดท้ายที่มีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ผลการรักษายังไม่มี การประเมิน

2. Tumor-infilirating lymphocytes therapy มีการนำ Mononuclear cells จากรอบๆ ก้อนมะเร็งที่ผ่าตัดออกมานำมากระตุ้น ให้เป็น LAK cellsซึ่งจะมีความสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้อย่างจำเพาะ TILs จะมีเซลล์พวก NK และ CTLs ซึ่งฆ่าเซลล์ได้โดยไม่จำเพาะ ถ้านำ มากระตุ้นด้วย IL-2 ปริมาณสูงขณะนี้กำลังทดลองใช้ในผู้ป่วยมะเร็งอยู่ Cytokine Therapy ปัจจุบันมีการนำ cytokine มาทดลองใช้มากขึ้นเนื่องจากสามารถผลิตได้ บริสุทธิ์จากวิธีพันธุวิศวกรรม การใช้ cytokine สามารถเลือกกระตุ้นความ สามารถของภูมิคุ้มกันผ่านเซลล์ชนิดใดชนิดหนึ่งหรือมากกว่าได้ cytokine ที่มีการทดลองใช้รักษามะเร็งคือ

1. Interleukin-2 (IL-2) มีการใช้เดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกับ Adoptive Cellular jImmunotherapy การรักษาได้ผล 20-40% ในผู้ป่วยมะเร็ง Melanoma และมะเร็งที่ไต IL-2 ช่วยกระตุ้น NK cells และ/หรือ CTLsทำให้เกิด LAK cell ในขณะนี้ผลข้างเครียงที่พบคือไข้ ปอดบวม และช็อคบ่อยๆ ซึ่งอาจเกิดจาก IL-2 ไปออกฤทธิ์กับ Lymphocytes อื่น ทำให้มีการสร้าง TNF, IFN-a และ Lymphotoxin ในขณะนี้มีความคิดที่ จะใช้ IL-4 ซึ่งสามารถกระตุ้น CTLs ได้เช่นเดียวกันและมีผลข้างเคียง น้อยกว่า

2. TNF มีการทดลองใช้ในการรักษาโรคมะเร็งที่เป็นมากๆ พบว่ามีผลข้าง เคียงสูงมากแม้ว่าจะได้ผลดีในการฆ่าเซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง

3. Alpha-interferon (IFN-a) ซึ่งเป็น TYPEI Interferon สร้างจาก เม็ดเลือดขาว มีฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเซลล์เพิ่มการ expression ของ class I MHC มีการนำมาทดลองใช้กับผู้ป่วยกันมากซึ่งพบว่า ได้ผล 10-15% ในมะเร็งไต, Melanona, Kaposi sarcoma ได้ผล 45%-50% ในมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ได้ผล 80-90% ใน Hairy cell leukemia

4. IFN-beta มีการทดลองใช้ในมะเร็งเม็ดเลือดและมะเร็งหลายชนิดแต่ พบว่าได้ผลน้อย การใช้ IFN-beta คาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้น NK cell และ Macrophage

5. Hematopoietic growth factors มีการทดลองใช้ GM-CSF (Granulocyte-Macrophage Colony Stimulating Factor) และ G-CSF (Granulocyte colony stimulating Factor) ในการรักษา มะเร็งในช่วงที่ผู้ป่วยมะเร็งมีเม็ดเลือดขาวต่ำมากๆ ภายหลังการปลูกถ่ายไข กระดูก ในปัจจุบันมีการทดลอง Transfect เซลล์มะเร็งในหลอดทดลอง ด้วย Cytokine Genes และฉีดเซลล์กลับเข้าในสัตว์ทดลอวที่เป็นมะเร็ง อยู่ พบว่ามีการสร้าง cytokine ปริมาณมากในบริเวณก้อนมะเร็งเป็นผล ให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง cytokine gene ที่มีการทดลองแบบนี้ได้แก่ IL-2, IL-4 และ IFN-a gene

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด(5)

ภูมิคุ้มกันต่อมะเร็ง (Tumor Immunology) อ.สิชล สงค์ศิริ
ในปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตเนื่องมาจากมะเร็งชนิดต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้น มะเร็งเป็นเซลล์ของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป และมีการเจริญเติบโตที่ไม่สามารถควบคุมได้ เซลล์มะเร็งมีสิ่งที่ผิดปกติซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถตรวจพบ แต่ในบางกรณีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งเหล่านั้นให้หมดไปได้ และกลับช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอีกด้วย ซึ่งเป็นผลให้ผู้ป่วยต้องเสียชีวิตในที่สุด ในบทนี้จะได้กล่าวถึงลักษณะและธรรมชาติของเซลล์มะเร็งโดยสังเขป แอนติเจนของเซลล์มะเร็ง การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน องค์ประกอบที่ช่วยให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้ดีขึ้น แนวทางการรักษามะเร็งโดยอาศัยความรู้และผลิตผลของระบบภูมิคุ้มกัน

เซลล์มะเร็ง
เซลล์ที่เดิมเคยเป็นเซลล์ปกติของร่างกายแต่ได้เปลี่ยนแปลงไป และมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอยู่ตลอดเวลา เซลล์ที่กลายไปเป็นมะเร็งมักจะเป็นเซลล์ที่มีการแบ่งตัวบ่อย เช่น
epithelial (กลายเป็นcarcinomas) หรือเซลล์ที่สร้างเม็ดเลือด (กลายเป็น leukemias) เซลล์ที่ปกติไม่ค่อยมีการแบ่งตัว จะไม่ค่อยกลายเป็นมะเร็ง เช่น เซลล์ประสาทหรือเซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์มะเร็งแตกต่างจากเซลล์ปกติดังนี้คือ

1.แบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา เซลล์ปกติจะแบ่งตัวภายใต้การควบคุมของร่างกาย ตามความต้องการของร่างกาย แต่เซลล์มะเร็งจะแบ่งตัวตลอดเวลา ทำให้รวมกันเป็นก้อนขนาดใหญ่ และรุกลํ้าเข้าไปในเนื้อเยื่ออื่นหรือเบียดเซลล์ที่ดีภายใต้อวัยวะนั้นๆ จนถูกแทนที่ด้วยเซลล์มะเร็ง

2.เซลล์มะเร็งสามารถไปเจริญในอวัยวะอื่นที่แตกต่างจากอวัยวะที่เป็นต้นตอของเซลล์มะเร็งนั้นได้ เซลล์จากแห่งหนึ่งอาจจะถูกพาโดยกระแสเลือด หรือกระแสนํ้าเหลืองไปเจริญเติบโตยังที่อื่นได้ซึ่งเรียกว่า metastasis

3.leukemia
เซลล์มะเร็งมีรูปแบบของโครโมโซมเปลี่ยนแปลงไป เช่น ใน chronic myelogeneousจะพบโครโมโซมที่ 22 ตัวหนึ่งจะสั้นกว่าของเซลล์ปกติทั่วไป ส่วนที่หายไปนี้ไปอยู่ที่โครโมโซมที่ 9 เซลล์มะเร็งแต่ละชนิดจะมีรูปแบบความผิดปกติแตกต่างกันไป และความแตกต่างนี้จะถ่ายทอดไปยังเซลล์ลูกหลานของเซลล์มะเร็งนั้นๆ

4.เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้ดีในหลอดทดลอง ขณะที่เซลล์ปกติจะเจริญได้ระยะหนึ่งแล้วตายไป เซลล์ปกติเมื่อเจริญจนเต็มผิวของภาชนะที่ใช้เลี้ยงแล้วจะหยุดเจริญ แต่เซลล์มะเร็งจะเจริญซ้อนๆ กันขึ้นไปได้

สาเหตุที่ทำ ให้เกิดมะเร็ง
สาเหตุที่ทำ ให้เกิดมะเร็งมีหลายสาเหตุด้วยกัน อาทิเช่น รังสี สารเคมีบางชนิด และไวรัสบางชนิด

แอนติเจนของเซลล์มะเร็ง
การที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำ ลายเซลล์มะเร็งได้นั้น บนผิวของเซลล์มะเร็งจะต้องมีแอนติเจนที่แตกต่างไปจากเซลล์ปกติธรรมดา นักวิทยาศาสตร์ได้ทำ การทดลองโดยทำ ให้หนูเกิด TSTAs นอกจากแอนติเจน sarcoma โดยการทาสารเคมีชื่อ Methylcholanthrene (MCA) ลงที่ผิวหนังของหนู จากนั้น 2-3 สัปดาห์หนูจะเกิด sarcoma ถ้าตัดเอาก้อน sarcoma นี้ออกมาและบดให้ได้เซลล์มะเร็งกระจายตัวออกจากกัน แล้วนำ ไปฉีดให้หนูปกติ เซลล์มะเร็งที่ฉีดเข้าไปจะเจริญเติบโต และในที่สุดทำ ให้หนูที่ถูกฉีดตายได้ แต่ถ้าตัดเอาก้อนมะเร็งออกก่อนที่จะทำ ให้หนูตาย หนูตัวนั้นยังจะคงมีชีวิตอยู่ และถ้าเอาเซลล์มะเร็งชนิดเดียวกับที่ฉีดครั้งแรกฉีดเข้าไปอีกหนูตัวนั้นจะไม่เกิดก้อนมะเร็งขึ้น ทั้งนี้สืบเนื่องจากหนูตัวนั้นมีภูมิต้านทานต่อเซลล์มะเร็ง แสดงให้เห็นว่าเซลล์มะเร็งที่ฉีดเข้าไปครั้งแรกทำ หน้าที่เป็นแอนติเจน และแอนติเจนที่ปรากฏบนผิวของเซลล์มะเร็งนี้เรียกว่า tumor specific transplantions antigens (TSTAs)ที่ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีจะแตกต่างกันไปตามสัตว์ทดลอง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสายพันธุ์เดียวกันซึ่งต่างจาก TSTAs ที่เกิดจากไวรัสจะเหมือนกันTSTAs แล้ว ยังมีแอนติเจนอื่นที่เกิดขึ้นหลังจากมีเซลล์มะเร็งในร่างกายเช่น alpha-fetoprotein (AFP), carcino embryonic antigen (CEA) AFP พบได้ในมะเร็งของตับ ตับอ่อน อัณฑะ ส่วน CEA พบในมะเร็งของลำ ไส้ใหญ่ เต้านม, prostate gland, กระเพาะปัสสาวะและปอด แอนติเจนพวกนี้เรียกว่า Tumor-associated antigens
การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อมะเร็ง

ร่างกายของสัตว์ทดลองสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นตอบสนองต่อเซลล์มะเร็งได้ เมื่อร่างกายได้รับการฉีดเซลล์มะเร็งที่มีชีวิต เซลล์มะเร็งที่ทำ ให้ตาย หรือ

TSTAs ที่ทำ ให้บริสุทธิ์ เมื่อร่างกายของสัตว์นั้นได้สร้างภูมิคุ้มกันขึ้นแล้ว ถ้าฉีดเซลล์มะเร็งเข้าไปอีกจะทำ ให้เซลล์มะเร็งนั้นไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นมะเร็ง ภูมิต้านทานนี้ยังสามารถถ่ายทอดโดย T cells ได้ด้วย ความจำ เพาะเจาะจงนี้สูงมาก ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า Tc cells มีความจำ เพาะต่อ antigenic determinant ที่ถูกเสนอมาพร้อมกับ class I antigen ดังนั้นภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นจึงจำ เพาะต่อ TSTAs และ MHC ด้วย

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด(6)

ทำไมในบางครั้งระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำลายมะเร็งได้
ทำไมร่างกายจึงไม่สามารถกำ จัดเซลล์มะเร็งได้ สิ่งหนึ่งที่เป็นไปได้คือ เซลล์มะเร็งเมื่อเริ่มเกิดขึ้นจะมี

อีกประการหนึ่ง คือ การที่แอนติบอดีได้จับแอนติเจนบนเซลล์มะเร็ง และเซลล์มะเร็งมีการกินเอาแอนติเจนที่ถูกแอนติบอดีจับเข้าไปในเซลล์ ทำ ให้เซลล์มีแอนติเจนลดน้อยลง

antigenicity ที่ตํ่ามาก ในหนูพบว่าเซลล์ที่เป็นมะเร็งจะมีปริมาณ class I antigen ตํ่ากว่าเซลล์ปกติทั่วไปมาก ซึ่งการที่มี class I antigen ตํ่าจะทำ ให้เซลล์มะเร็งนั้นรอดพ้นไปจาก Tc cells ได้
สิ่งที่ช่วยให้มะเร็งเจริญเติบโตได้ดีขึ้น

เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่บางครั้งแอนติบอดีที่ร่างกายสร้างขึ้นน่าจะเป็นประโยชน์กับเป็นโทษ ในเรื่องของภูมิคุ้มกันต่อมะเร็งก็เช่นเดียวกัน พบว่าถ้าทำ การฉีดสัตว์ทดลองด้วยแอนติบอดีต่อเซลล์มะเร็งชนิดหนึ่ง

รวดเร็วกว่าตัวที่ไม่ได้รับแอนติบอดี

(บางชนิดเท่านั้น) แล้วฉีดตามด้วยเซลล์มะเร็งชนิดนั้น เปรียบเทียบกับฉีดเซลล์มะเร็งอย่างเดียว พบว่าการที่ฉีดแอนติบอดีเข้าไปก่อนทำ ให้เซลล์มะเร็งที่ฉีดตามไปภายหลังเจริญเติบโตได้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำ การทดลองต่อมาพบว่ามีการยับยั้งการทำ งานของ Tc cells ต่อเซลล์มะเร็ง สิ่งที่สามารถยับยั้งการทำ งานของ Tc cells ต่อเซลล์มะเร็ง มี 3 ชนิด คือ แอนติบอดี แอนติเจน และ antigen-antibody complexes
แอนติบอดี

แอนติบอดีไปช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้อย่างไร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไปยับยั้งการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างไรบ้าง ทั้งนี้สืบเนื่องจากแอนติบอดีจะไปจับกับ

TSTAsแอนติเจน ซึ่งจะทำ ให้ Tc cells ไม่สามารถมองเห็นแอนติเจนเซลล์มะเร็งอีกต่อไป Tc cells จึงไม่สามารถทำ หน้าที่ได้
แอนติเจน

แอนติเจน

TSTAs โดยตัวของแอนติเจนเองจะสามารถไปจับกับตัวรับ (receptor) บนผิวของTc cells ทำ ให้ Tc cells ไม่สามารถไปจับกับแอนติเจนที่อยู่บนผิวของเซลล์มะเร็งได้ ปรากฎการณ์นี้ในร่างกายที่มีเซลล์มะเร็งเจริญอยู่อาจจะมีการปล่อยแอนติเจนของเซลล์มะเร็งออกมาในกระแสเลือดและทำ ให้เกิดการยับยั้งดังกล่าวขึ้นได้
Antigen-antibody complexes

Antigen-antibody complexes

สามารถยับยั้งภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำ ลายเซลล์มะเร็งได้สองทางด้วยกัน คือ
1. antigen-antibody complexes
ซึ่งแอนติบอดีนี้ยังมี antigen binding site ที่ยังอิสระอยู่จึงสามารถจะจับกับแอนติเจนบนผิวของเซลล์มะเร็งได้ ทำ ให้ Tc cells ไม่สามารถจับกับแอนติเจนบนผิวของเซลล์มะเร็งได้
2. antigen-antibody complexes
ไปยับยั้งการทำ งานของ antibody-dependent cellmediated cytotoxicity (ADCC) โดยจะเอา Fc ที่ยื่นจาก immune complexes ไปยับยั้งกับ Fc receptor บนผิวของ K cell ทำ ให้ K cell ไม่ไปออกฤทธิ์ที่เซลล์มะเร็ง
สารที่ปล่อยจากเซลล์มะเร็งสามารถยับยั้งการทำ งานของระบบภูมิคุ้มกัน

เซลล์มะเร็งสามารถปล่อยสารต่างๆ ออกมาในกระแสโลหิต เช่น สารที่ช่วยในการกระตุ้นให้มีการสร้างเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงก้อนมะเร็ง ปล่อยแอนติเจนออกมายับยั้งการทำ งานของ

Tc cells และสารที่ยับยั้งไม่ให้ macrophages เคลื่อนที่เข้าไปหาเซลล์มะเร็ง เป็นต้น
T suppressor cells

Ts cells
ช่วยให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้ดีขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งยับยั้งการตอบสนอง Tc cellsต่อเซลล์มะเร็ง เมื่อมีเซลล์มะเร็งเจริญเติบโตจะพบว่า Ts cells ที่จำ เพาะต่อเซลล์มะเร็งจะมีการเพิ่มจำนวนขึ้นด้วย และจะมีบทบาทมากกว่า Tc cells เป็นผลให้เซลล์มะเร็งเติบโตได้ดี
การรักษามะเร็งโดยวิธีทางภูมิคุ้มกัน

ระบบภูมิคุ้มกันมีการตอบสนองต่อเซลล์มะเร็งที่กำ ลังเจริญเติบโต แต่ถ้าไม่สามารถหยุดยั้งเซลล์มะเร็งก็จะเจริญเติบโตต่อไป และทำ ให้ผู้ป่วยหรือสัตว์เสียชีวิตในที่สุด ความพยายามของนักวิทยาศาสตร์ที่จะหาทางกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อต่อสู้กับมะเร็งนั้นมีดังต่อไปนี้

การกระตุ้นร่างกายด้วยเซลล์มะเร็ง

ความพยายามนี้ประสบความสำเร็จในไก่ โดยการฉีดเซลล์ที่มีไวรัส
(ทำให้ไวรัสตายแล้ว) ซึ่งทำ ให้เกิด Marek’s disease (lymphoma ชนิดหนึ่งของไก่) จะทำ ให้ไก่นั้นไม่เป็นโรคดังกล่าวได้ สืบเนื่องจากมี Tc cells ต่อ TSTAs ของไวรัส และ Class II antigen
การให้แอนติซีรัม

leukemia cells และเป็นแอนติบอดีที่จับกับคอมพลีเมนท์ได้ จะทำให้เกิดการทำ ลายของ leukemia cells แต่ยังให้ผลไม่เป็นที่น่าพอใจimmune cell (T cell)
ในสัตว์ได้ทำ การทดลอง

immune T cell (T cell จากสัตว์ที่ได้รับการฉีดเซลล์มะเร็ง) เข้าไปในสัตว์ที่กำ ลังเป็นมะเร็ง พบว่าไม่ได้ผล และเกิดผลเสียด้วย คือทำ ให้เซลล์มะเร็งเจริญได้ดียิ่งขึ้น เชื่อว่าเป็นผลมาจาก Ts cells
การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะเจาะจง

(immunopotentiation)
ได้มีความพยายามที่จะใช้เชื้อแบคทีเรียและสารต่างๆ ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะเจาะจง เช่น

BCG, Corynebacterium pavum, Bordetella pertussis หรือสารพวกoxazolone และ dinitrochlorobenzene (DNCB), lavamisole (เป็นยาถ่ายพยาธิ) ซึ่งเชื้อหรือสารเหล่านี้มีผลต่อการกระตุ้นระบบ CMI และ macrophage แบบไม่จำ เพาะเจาะจง สารต่างๆ เหล่านี้จึงเปรียบเสมือนเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทั่วๆ ไปได้ดีขึ้น (adjuvant)
นอกจากนี้เชื้อแบคทีเรียหรือสารต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วได้มีความพยายามที่จะใช้

lymphokinesบางตัว เช่น IL-2 และ interferon เพื่อรักษามะเร็งซึ่งได้ผลอยู่บ้าง และกำ ลังศึกษากันอย่างจริงจัง
Immunotoxin

ในปัจจุบันวิธีการรักษามะเร็งมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิด ตำ แหน่ง ระยะการดำ เนินของโรค วิธีต่างๆ ที่นำ มาใช้ เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี การรักษาด้วยยา การรักษาแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป

การรักษาด้วยยาพวกทำลายเซลล์ที่มีการแบ่งตัว

(cytotoxic drug) เซลล์มะเร็งจะถูกทำลาย(เพราะมีการแบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา) ในขณะเดียวกันเซลล์ปกติของร่างกายที่มีการแบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา เช่น เซลล์เม็ดเลือด เซลล์บุผนังทางเดินอาหาร ย่อมถูกทำลายไปด้วย นักภูมิคุ้มกันจึงพยายามหาวิธีการที่จะทำ ลายเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างแอนติบอดีที่จำ เพาะต่อแอนติเจน หรือ determinant ของเซลล์มะเร็ง ซึ่งจะเข้าไปจับที่ผิวของเซลล์มะเร็ง และนำ เอายาที่ฆ่าเซลล์หรือสารพิษ อาทิเช่น ricin ที่ทำ ลายเซลล์ได้มาติดกับแอนติบอดีดังกล่าวบริเวณ Fc เมื่อไปจับที่ผิวของเซลล์มะเร็งแล้วเซลล์มะเร็งจะมีการ endocytosis และเมื่อเข้าสู่เซลล์ได้แล้วสารพิษจะทำงานโดยยับยั้งขบวนการสร้างโปรตีนของเซลล์ที่ ribosome ในขณะนี้อยู่ในระดับการวิจัยในห้องปฏิบัติการ
บทสรุป

เซลล์มะเร็งนั้นมีสิ่งที่แตกต่างจากเซลล์ปกติ โดยมี

TSTAs แอนติเจน ร่างกายของคนหรือสัตว์สามารถมีการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อเซลล์มะเร็ง แต่ในผู้ป่วยด้วยมะเร็งหลายชนิดภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่สามารถที่จะกำจัดเซลล์ออกไปได้ และบางครั้งกลับเป็นตัวช่วยให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตได้ดีขึ้น การรักษามะเร็งที่เกิดขึ้นมีวิธีการต่างๆ อาทิเช่น การผ่าตัด การฉายรังสี การให้ยา ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียอยู่ ทางหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังทำ การศึกษาค้นคว้าวิจัยกันอย่างมากคือ การรักษาด้วยการทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยมีความสามารถในการทำลายมะเร็งได้ดีขึ้น โดยใช้เชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น BCG, Corynebacterium pavum หรือสารบางชนิด เช่น DNCB levamisole เพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำ เพาะเจาะจง พบว่าได้ผลพอสมควรในผู้ป่วยมะเร็งบางชนิด เช่นmelanoma หรือมะเร็งของผิวหนังบางชนิด นอกจากนั้นยังได้มีความพยายามที่จะนำ เอาแอนติบอดีมาติดกับสารพิษเพื่อให้เกิดการทำ ลายเซลล์มะเร็งโดยเฉพาะ โดยอาศัยความจำ เพาะเจาะจงของแอนติบอดีที่จะเข้าจับกับเซลล์มะเร็งเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้มีความพยายามในการใช้ lymphokines เช่น IL-2 และ interferon มากระตุ้นเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน ความพยายามต่างๆ เหล่านี้อยู่ในขั้นการทดลองอย่างจริงจัง

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด(7)

การรักษาอย่างมีสติ

เรื่องราวที่เคยไปลงไว้หรือตอบคำถามสำหรับผู้ที่ต้องการความคิดเห็นจากเวปไซต์อื่น ได้รวบรวมมาไว้ที่นี่ ลองอ่าน แล้วคุณมีความคิด พ่อเป็นมะเร็งที่ไต ระยะ4 เหมือน ตรวจเจอเมื่อ เมย.49 หมอบอกว่าต้องรีบผ่าตัดด่วน ไม่งั้น อยู่ไม่เกินเดือน แต่ถ้าผ่าแล้ว อาจช่วยยืดเวลาไปเป็น3เดือน ก็ต้องลองดู หลังตัดไตออก1ข้าง ก็ไปหาหมอที่ศิีริราชต่อ หมอบอกว่าให้ทำใจ เพราะโอกาศมีน้อย แต่เราก็ไม่สนใจ พยายามหาอาหารเสริม หรืออะไรที่ว่าดี ก็ให้กินนะ แต่ก็ไม่ดีขึ้น หลังจากนั้น1เดือนหมอจะให้ลองรับเคมีดู แต่พ่อไม่รับ เราก็พยายามต่อ น้ำหนักลดไป6กิโล จนกระทั่ง มาเจอคุณหมอท่านหนึ่งบอกว่า คนข้างบ้านหมอ พ่อเขาเป็นมะร็งตับ (เชื้อไวรัสซี)ที่หมอรามา บอกว่าไม่รอด แต่พอทานสารเพิ่มภูมิต้านทานที่ชื่อว่า TF plus 3เดือน ผลเลือดดีขึ้น จนเซลล์มะเร็งหยุดกระจาย และฝ่อยุบลง เราก็เลยลองดูว่าจะได้ผลมั้ย ปรากฏว่าได้ผล พ่อเราแข็งแรงขึ้น ทานอาหารได้มาก จนน้ำหนักขึ้นมา7กิโล เราดีใจมาก เพราะพี่คนนี้เขาได้มาจากเพื่อนเขาอีกที และปลอดด้วย แต่ราคาสูงพอสมควร แต่เราคิดว่าคุ้มมาก เพราะผลที่ได้พ่อเรามีความสุขมากกว่าการรับเคมี ปัจจุบันพ่อเราแข้งแรง เพราะได้รับสารอาหารครบถ้วน อ้อลืมบอกว่ามะเร็งกระจายไปเต็มปอด และไอมากด้วย แต่พอทานไป พ่อก็ไอน้อยลง และไม่ไอแล้ว เพราะถ้าไอแล้ว มีเสมหะออก ถือว่าได้ขับเซลล์มะเร็งออกมาด้วย ไม่ให้มันตกค้างอยู่ในปอด จนทำให้เกิดการอักเสบ ถ้าคนที่เป็นมะเร็งแล้วมีอาการไอ ท้องเสีย อาเจียน แล้วไม่เกิดอาการเพลีย จนทำให้ไข้ขึ้น ถือว่าดีขึ้นค่ะ ลองสังเกตุดูนะ เพราะเราให้พ่อเราสังเกตุตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นมั้ย หลังจากทานสารนั้นไปแล้ว แต่จะเแป็นอยู่แค่7-10วัน หลังจากนั้นจะดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อเราอายุ65ปีแล้ว และก็เตรียมหาที่นอน(หลุมฝังศพ)ไว้แล้วด้วย และก็ให้เราเป็นหมอประจำตัว ทุกวันนี้เรามีความสุขที่ทำให้พ่อแม่มีสุขภาพที่ดีขึ้น เสียค่ารักษาไม่มากด้วย ใครสนใจอยากใช้ ผลิตภัณฑ์มาจากอเมริกา ผ่านอย. ผ่านงานวิจัยกับทุกโรคมาแล้ว และที่สำคัญ ถ้าภูมิต้านทานเราแข็งแรง ก็จะกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมในร่างได้ไว สาเหตุที่คนเราเสียชีวิต ก็เพราะติดเชื้อง่าย ภูมิต้านทานอ่อนแอ ไม่มียาอะไรที่จะรักษาโรคต่างๆ ได้ดีเท่าร่างกายของคนที่เป็นเอง หมายความว่า ร่างกายเรามีระบบที่เป็นหน่วยแพทย์ประจำตัวอยู่แล้ว หากหน่วยนั้นทำงานล้มเหลว หรือ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ จะทำให้เจ้าของร่างกายเจ็บป่วย จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่ว่าตอนนั้น สภาพร่างกายเป็นอย่างไร และหน่วยนั้นก็คือ ระบบภูมิคุ้มกัน ประกอบด้วย เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง เกร็ดเลือด ซึ่งเป็นเซล์ของร่างกาย และเซลล์ก็มีวันหมดอายุ และเกิดขึ้นใหม่ และเซลล์ ก็จะมีทั้งดีและไม่ดี อวัยวะต่างๆ ก็ประกอบมาจากเซลล์ หากเซลล์ตรงนั้นโดนทำลายหรือเสื่อมตามอายุ ก็จะทำงานไม่ได้ จะทำให้เกิดอาการต่างๆตามมา คนที่เป็นเอดสื มะเร็ง หวัด เบาหวาน ไต และอื่นๆอีกมาก ที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากการทำงานของเซลล์ มากไป น้อยไป สับสน แยกแยะไม่ออก ทำร้ายเนื้อเยื่อตัวเอง ดังนั้น บอกคนไข้ ทำร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารให้ครบ ออกกำลัง พักผ่อน ไม่เครียด แล้วจะค่อยๆดีขึ้น เบาหวาน เกิดจาก ตับอ่อนผลิตฮอโมนอินซูลิน ไม่ได้ ทำให้เผาผลาญน้ำตาลไม่ได้ หากกินน้ำตาลเข้าไปมากเกิน ก็จะทำให้น้ำตาลล้นไหลเข้าสู่กระแสเลือด มะเร็งตับ เกิดจากหลายสาเหตุ แต่ที่แน่ เกิดจากการที่ตับสะสมสารพิษ และต้องทำงานหนักมาตลอด ทำให้เกิดการสะสม และทำให้ตับอักเสบ เรื้อรังมากเข้า ไม่ได้รักษา ซ่อมแซม นานวันเข้าก้กลายเป็นมะเร้ง การรักษา ต้องทำแบบวิธีที่นุ่มนวล คือ เจอแล้ว ผ่าตัด ตัดแล้ว ซ่อมส่วนที่อักเสบด้วยอาหาร5หมู่ และเพิ่มความฉลาดให้กับเซลล์ เพิ่มความแกร่งให้กับเซลล์ ด้วย โปรตีนไอโซเลต สกัดจาก คอลอสตรัม(น้ำนมใส3วันแรกคลอด)ไข่แดง รวมทั้ง สมุนไพรที่ผ่านการสกัด เช่น เห็ดชิตาเกะ ไมตาเกะ เบต้ากลูแคน IP6 หางจรเข้ สารสังกะสี(มีมากในหอยนางรม) ได้รับการยอมรับมากว่า40ประเทศ ได้รับการยอมรับทางการแพทย์ เช่น กระทรวงสาธารณสุขรัสเซีย ผ่านอย. ได้ฮาลาน ลงใน PDR เอกสารทางการแพทย์ มีงานวิจัยกว่า3000ฉบับใช้ทุนกว่า40ล้านเหรียญ นีไม่ใช่โฆษณา แต่นี่คือข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ เพราะมะเร็งระยะไหน ก็ตายเหมือนกัน แต่จะเร็วหรือช้า คนไข้กำหนดเอง ไม่ใช่หมอ

ถึงผู้ที่ต้องการความคิดเห็นทุกท่าน หากท่านต้องการกำลังใจ หรือคำแนะนำ ท่านต้องแสวงหา ไม่ใช่มาบอกไว้ แล้วให้เขาไปหาท่าน ก็อาจจะมีทั้งผู้ที่คำแนะนำที่ดีและผู้ที่ต้องการหาผลประโยชน์จากท่าน เพราะเดี๋ยวนี้มีสินค้าออกมามากมาย แต่ไม่มีผลพิสูจน์และมีการรับรองทางการแพทย์ และส่วนประกอบมีอะไรบ้าง มีประโยชน์หรือโทษหากใช้ไปนานๆ นอกจากเสียเงินไปเรื่อย อาจจะไม่ได้ผลตามที่บอก เพราะต้องการขายมากกว่าต้องการให้เขาใช้เพื่อประโยชน์ของคนป่วย แต่ต้องการรายได้ที่มากขึ้น ก็จะบอกว่าใช้แล้วหาย ขอบอกไว้ต้องนี้ ไม่มียาอะไรหรือสมุนไพรอะไรที่จะรักษาคนเป็นมะเร็งแล้วหายตลอดไปหรอก เพราะมะเร็งก็คือเซลล์ในร่างกายเรา กลายพันธุ์ และได้รับสารกระตุ้นจากภายในและภายนอกมาเสริม ทำให้เกิดการขยายเติบโต ร่างกายกำจัดไม่ออก ก็ตกค้างสะสมนานเข้าก็ขยายใหญ่ จนแพร่ไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย หากคุณแข็งแรงทั้งภายในและภายนอก คุณก็จะไม่มีมะเร็งมาแพร่ในตัวคุณแน่นอน ไม่ใช่แข็งแรงแต่ภายนอก แข็งแรงภายในหมายถึง การทำงานตั้งแต่เซลล์ อวัยวะ ระบบต่างๆในร่างกาย คุณตรวจสุขภาพทุกวันหรือไม่ เซลลืในร่างกายมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนคนเรานี่แหละ มีอายุขัย บางชนิด มีอายุ3วัน 7วัน 3เดือน และก็มีจำนวนที่สมดุลยื มากไปหรือน้อยไปก็ไม่ดี คุณลองหาโอกาสไปตรวจเลือด ตรวจนับเซลล์เม็ดเลือขาว แดง เกร็ดเลือด ตรวจพื้นฐานเสียเงินไม่กี่บาท บางตัว30 บางตัว50 บางตัวเช่น คนที่ร่างกายอ่อนแอต้องตรวจมากขึ้น เช่น cd4, cd8, nk cell จะแพงหน่อย เพราะอาจจะมีการติดเชื้อ หาเชื้อไวรัส รวมทั้งมะเร็ง ก็ควรตรวจเพิ่ม โดยเฉพาะ nk cell คือหน่วยรบพิเศษที่จะไปกำจัดเซลล์แปลกปลอมที่เซลล์ตัวอื่นกำจัดไม่ได้(คล้ายๆหน่วยคอมมันโด) ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาขึ้นอยู่การตัดสินใจของคนป่วยและผลตอบรับ เช่น ญาติคนไข้บางคนเสียค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหาร ค่ายา ค่าอาหารเสริม ค่าปรึกษา ค่ารถ และอื่นๆ เสียมามาก ก็ไม่ได้ผลดีขึ้น แต่ญาติคนไข้อีกคนเสียค่าอาหาร ค่ายา ค่าอาหารเสริม ค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า กลับได้ผลดีขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ เพราะ คนไข้คนแรก ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่อีกคนรู้ตัว ปรับเปลี่ยนตัวเอง ร่วมด้วยช่วยกันรักษา ผลออกมาจึงดีขึ้น ดิฉันมีอาหารเสริมตัวหนึ่งที่จะแนะนำ เพราะทุกวันนี้ดิฉะันใช้วิธีที่บอกมาในการรักษาคุณพ่อที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย(หมอบอก) มีสุขภาพแข็งแรงดีทุกอย่าง ไม่ได้มาโฆษณา แต่มาบอกให้ทราบ คุณอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ไม่ว่าวิธีไหน ถ้าทำแล้วคนไข้ดี ทำไปเถอะ ขอวิธีเดียวที่ไม่ควรทำ คือ การปิดบังคนไข้หรือญาติคนไข้ เพราะเดี๋ยวนี้ ใครไม่เป็นมะเร็ง คนนั้นเชยจังเลย บางคนดีใจด้วยที่เป็นมะเร็ง เพราะเขาไม่ได้ป่วย แค่เป็นมะเร็ง มีน้องคนหนึ่งเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย เธอไม่ได้เจอพ่อมานานมาก พอพ่อรู้ว่าว่าลูกสาวเป็นมะเร็ง พ่อก็มาดูแล และยังมีอีกหลายคนที่ได้ใกล้ชิดกัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ขอให้ทุกคนโชคดี สุขภาพแข็งแรงทั้งกายและใจ ภายในและภายนอก

มะเร็งเป็นแล้วไม่หาย
ใครบอกว่าหาย คนนั้นโกหก เพราะมะเร็งเป็นคำที่หมอบัญญัติขึ้นมา เกิดจากเซลล์ที่ผิดปกติ ทำให้เกิดความไม่สมดุลย์ และกินอาหารจากสารพิษ เช่น สารเคมีที่เกิดจากภายในและภายนอก เชื้อโรคต่างๆที่แอบแฝงเข้าไป ร่างกายกำจัดไม่ได้ เป็นเซลล์ของอวยวะใดก็จะทำให้การทำงานของอวัยวะนั้นผผิดปกติไป การตรวจพบใช้เวลา 10-20 ปี จึงจะเจอ จะมีขนาดเท่าหัวไม้ขีด มะเร็งเกิดขึ้นทุกวัน วันละหลายรอบ ที่ไม่เป็นอะไร เพราะระบบภายในร่างกายปกป้องเราจากสิ่งแปลกปลอม อายุของเซลล์ ตั้งแต่ 3-120 วัน และจะบอกว่าเราทุกคนเป็นมะเร็งได้ หากมีการอักเสบเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก และระบบต่างๆ ทำงานเกี่ยวข้องกัน โดยเฉพาะมะเร็งที่ตับ ทำไมจึงเป็นกันมาก เพราะตับต้องย่อยสารอาหารต่างๆที่กินเข้าไปต่อจากกระเพาะ ให้เป็นโมเลกุลขนาดเล็กลง โดยความร่วมมือจากถุงน้ำดี ผลิตน้ำดี ไปย่อยไขมัน ตับอ่อนผลิตฮอโมนอินซูลิน ไปเผาผลาญน้ำตาล ให้เป็นกลูโคส เพื่อนำไปใช้ให้พลังงาน และที่สำคัญต้องกรองสารพิษต่างๆด้วย ก็สะสมเอาไว้ เหมือนกองขยะ คัดแยก และของเหลวก็ส่งไปกรองที่ไต อีกแยะที่เราไม่รู้ อยากกินอยากใช้อะไรก็ได้ ต้องฉลาดที่จะเลือกใช้ เดี๋ยวนี้โอ้อวดกันมาก เขาบอกมาก็ลองคุยกับเขาดู ถ้าเขาให้ซื้อก็คิดให้ดีก่อน เชื่อถือได้มั้ย อย่าเอาคนใหญ่คนโตมาอ้างเลย ถ้าหายจริง คงไม่มีคนตายหรอก พ่อเราเป็นมะเร็งระยะ4 เรารักษาพ่อเรา ให้พ่อเราใช้อาหารชนิดหนึ่ง ตอนนี้ก็แข็งแรงดี ไม่เหมือนคนเป็นมะเร็งเลย พอใครถามเราก็บอกว่ากินอยู่ปีกว่าแล้ว แต่ไม่รู้หายหรือเปล่า เพราะเราจริงใจกับเขามากกว่า เราเข้าใจคนที่เขากำลังทุกข์ ต้องการความช่วยเหลือมากกว่า เราบอกเขาไปซื้อกิน บางคนกินแล้วก็ตาย บางคนกินแล้วลดอาการเจ็บทรมาณลง บางคนก็อยู่ดีขึ้น แต่บริษัทที่เราแนะนำเขาไปซื้อ เขาเป็นระบบเครือข่าย ต้องมีสมาชิกเก่าแนะนำ เราก็ต้องทำตามนโยบายของบริษัท แนะนำเขาไปใช้ หากใช้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ช่วยแนะนำต่อไปนะ อย่าไปหลอกเขานะ เราจะมีบาปติดตัว เราทำเพื่อให้เขาดีขึ้น เพื่อขอให้พ่อเราดีขึ้น อนิสงค์ที่ได้มาเจอกัน ได้ให้สิ่งที่ดีต่อกัน และเป็นธุรกิจเครือข่ายมันก็ไม่ผิด ถ้าผลิตภัณฑ์ดีจริง ผ่านการพิสูจน์มาจริง มีการยอมรับหลายๆหน่วยงานจริง และไม่ต้องโกหก หลอกลวงใครเข้ามาในเครือข่ายดีกว่า และระบบเครือข่ายต้องเริ่มจากการเป็นสมาชิก ใช้สินค้า ประทับใจในสินค้า มีผลประโยชน์จากการเป็นสมาชิก เช่น ได้ส่วนลด ได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในอนาคต และมีรายได้เกิดขึ้นจากการใช้สินค้า (เพราะใช้สินค้าจริง) และใช้สม่ำเสมอ หากคุณไม่ใช้สินค้า แล้วคุณกล้าบอกเขาหรือว่าดี แล้วถ้าคุณไม่ลงทุนซื้อใช้ ใครจะให้รายได้กับคุณ ไม่มีบริษัทไหนมาลงทุนผลิตสินค้าครั้งเดียว อยู่ได้ตลอดไปหรอกนะ ธุรกิจเดี๋ยวนี้มีระบบสมาชิกเข้ามาร่วม เพื่อจะได้ทราบว่า มีใครบ้างที่ใช้สินค้าและบริการของเขา และเพื่อให้สมาชิกได้รับผลประโยชน์กลับคืน ไม่งั้นบริษัทกำไรอย่างเดียว และลดค่าใช้จ่ายใบางเรื่อง เช่น การโฆษณา การขนส่ง คนกลาง เพราะนั่นคือต้นทุน อย่ามองว่า สินค้าชนิดนั้นราคาแพง เพราะเขากำไรเกินควร แต่ให้มองว่าประโยชน์ที่ได้รับหลังจากจ่ายเงินซื้อไปแล้วคุ้มค่ามั้ย จะดีกว่า เพราะเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ก็ต้องลงทุนสูง เช่นคนที่เป็นมะเร็งหรือมีอาการอื่นๆ ถ้ามีอาการแล้วมารักษาให้หายเป็นปกติ คุณต้องคิดว่า กว่าจะมีอาการ ควรใช้เวลาเท่าไร อะไรเป็นสาเหตุ และการรักษาจะต้องนานเท่าไรจึงจะดี (อย่าเพิ่งคิดว่าหาย เพราะบางคน พอรู้ ก็ขาดสติ ตายเร็วกว่ากำหนดก็มี)บางคนรักษาที่ปลายเหตุ บางคนเชื่อผิดๆ คิดว่าเสียเงินน้อยๆ จะรักษาหาย แต่บางคนก็ดีขึ้น แต่บางคนทุ่มเท เสียเงินมากๆ คิดว่าหายแน่ กลับแย่กว่าเก่าอีก อะไรที่คนหนึ่งว่าดี อีกคนอาจะไม่ดีก็ได้ ขนาดส้มตำจานเดียวกัน บางคนบอกว่าหวาน บางคนบอกว่าเค็ม บางคนบอกว่าเปรี้ยว บางคนบอกว่าเผ็ด เพราะพื้นฐานระบบร่างกายไม่เหมือนกัน คุณต้องรักษาระบบร่างกายให้สมดุล แข็งแรง อาการต่างๆของคุณจะดี และร่างกายของสิ่งมีชีวิต ต้องการอาหาร อากาศ น้ำ ขับถ่าย จิตใจดี คิดดี พูดดี ทำดี เคลื่อนไหว ไม่แน่นิ่ง ยารักษาโรคก็คืออาหาร หากคุณอ่านเรื่องราวที่กล่าวมา ถ้ามีข้อคิดเห็น หรืออยากลองใช้ผลิตภัณฑ์ ลองอ่านข้อความเก่าๆที่ผ่านมา หรือโทรติดต่อมาที่ 083-7046680หรือ 086-3748631 คุณเสาวนีย์ ผลพอตน(โจ)ผู้แนะนำ หมายเลขสมาชิก 6222085 บริษัท 4ไล้ฟ์ ตึกอัมรินทร์พลาซ่า ชั้น 4 โทร02-2518898 กด 1 ติดต่อสั่งซื้อกับเจ้าหน้าที่ หรือเข้าไปดูข้อมูลที่ http://www.4life.com

ความสามารถของ ทรานเฟอร์แฟคเตอร์
การพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน
เริ่มจากเมื่ออยู่ในครรภ์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในโพรงกระดูก (Bone lymphocyte precursors) เดินทางไปยังต่อม ไธมัส (Thymus) ที่อยู่บริเวณขั้วหัวใจ เม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะพัฒนาไปเป็นเม็ดเลือดขาว ที ลิมโฟไซท์ (T lymphocytes)หรือ ที เซลล์ (T cell) อีกกลุ่มหนึ่งคือ เม็ดเลือดที่ไปพัฒนาที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งระหว่างที่ตับเมื่ออยู่ในครรภ์, ที่โพรงกระดูก หรือที่ระบบทางเดินอาหาร สำหรับสัตว์นม (Mammal) หรือที่ต่อม เบอร์ซ่า ออฟ ฟาบริเซียส (Bursa of Fabricius) ที่ตอนบนของทวาร (cloaca) สำหรับสัตว์ปีกเรียกเม็ดเลือดขาวกลุ่มนี้ว่า บี ลิมโพไซท์ (B lymphocytes) หรือ บี เซลล์ (B cells). ที เซลล์ ของระบบภูมิคุ้มกันเมื่อถูกกระตุ้นด้วย อิมมูนโนเจน จะเปลี่ยนเป็น เอฟเฟคเตอร์ ที เซลล์ (Effector T cells หรือ Cytotoxic T lymphocyte) มีการขยายขนาดเซลล์ เพิ่มจำนวนเซลล์ พร้อมทั้งขับสาร ลิมโฟไคน์ (Lymphokines) เป็นสารโมเลกุลใหญ่ สามารทำลายโปรตีน หรือผนังเซลล์แปลกปลอมได้ ตัวเอฟเฟคเตอร์ ที เซลล์ เองก็สามารถทำลายเซลล์แปลกปลอมได้โดยตรง เรียกคุณสมบัติของ ที เซลล์ ทั้งหมดนี้ว่ามี ภูมิคุ้มกันต้านเซลล์แปลกปลอม (Cellular immunity) การทำงานของ ที เซลล์นั้น เมื่อมีเซลล์แปลกปลอมเกิดขึ้น อาจจะเป็นเซลล์มะเร็ง (cancer cell), เซลล์จะเข้าเกาะ ทำให้ ที เซลล์ ขยายขนาดขึ้น ขับสารเคมีทำลายเซลล์แปลกปลอมนั้น อาจเป็นเอนไซม์พวกไลโซโซมอล เอนไซม์ (Lysosomal enzymes) นอกจากนี้ ที เซลล์ ยังขับสารที่เรียกว่า ทรานสเฟอร์ แฟคเตอร์ (Transfer factor) มีน้ำหนักโมเลกุล 2 000 ถึง 8 000 มีฤทธิ์ทำให้ ที เซลล์ธรรมดาเปลี่ยนเป็น เอฟเฟคเตอร์ ที เซลล์ มากขึ้น อีกประการหนึ่ง เอฟเฟคเตอร์ ที เซลล์ มีการปล่อยสาร มาโครฟาจ คีโมแทคติค แฟคเตอร์ (Macrophage chemotactic factor) ดึงดูดให้มาโครฟาจเดินทางมาบริเวณนี้มากขึ้น (อาจสูงถึง 1 000 เซลล์ ต่อเอฟเฟคเตอร์ ที เซลล์) มาโครฟาจเหล่านี้จะกินเซลล์แปลกปลอมที่เข้ามา สุดท้าย ที เซลล์จะขับสาร ไมเกรชั่นอินฮิบิชั่น แฟคเตอร์ (Migration in hibition factor) ยังยั้งการเดินทางของมาโครฟาจมาบริเวณนี้ บี เซลล์ เมื่อถูกสิ่งแปลกปลอมกระตุ้นจะพัฒนาไปเป็น พลาสมา เซลล์ (Plasma cells) ขั้นตอนนี้มี ที เซลล์ ชนิด เฮลเปอร์ ที เซลล์ (Helper T cells) ช่วยให้เกิด พลาสมาเซลล์ ได้มากขึ้น มี ซัพเพรสเซอร์ ที เซลล์ (Suppressor T cells) ชะงักการเกิด พลาสมา เซลล์ พลาสมา เซลล์ เหล่านี้สามารถผลิตแอนติบอดี (Antibody) ที่มีคุณสมบัติจำเพาะเจาะจงกับสิ่งแปลกปลอมที่มากระตุ้น โดยสามารถรวมกันเป็นแอนติแจนแอนติบอดี คอมเพลกซ์ (Antigen-Antibody complex) ทำให้แอนติเจนหมดฤทธิ์ในการเป็นโทษต่อร่างกาย

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด( 8 )

ภูมิคุ้มกันประดิษฐ์
ระบบภูมิคุ้มกันประดิษฐ์ Artificial Immune System(ระบบภูมิคุ้มกันประดิษฐ์) 1.บทนำ ในร่างกายของคนเรามีระบบในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาทำอันตรายกับร่างกายและมันยังมีความสามารถที่จะจดจำและ จำแนกความแตกต่างของสิ่งผิดปกติ ลักษณะต่างๆได้อย่างถูกต้องซึ่งนับว่าเป็นระบบที่อัจฉริยะ ทางด้านระบบคอมพิวเตอร์จึงได้มีการนำกลวิธีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันนี้มาเป็นต้นแบบในการสร้าง แนวทางใหม่ๆในการแก้ปัญหาทางคอมพิวเตอร์ซึ่ง ในเบื้องต้นเราจะมาทำความรู้จักกับ ระบบภูมิคุ้มกันในธรรมชาติกันก่อน 2. Natural Immune System (ระบบภูมิคุ้มกันในธรรมชาติ) ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์มีอยู่ทั่วร่างกาย เปรียบเหมือนกองทัพทหารที่ป้องกันประเทศ ประกอบด้วย ต่อมน้ำเหลือง (เป็นที่อยู่ของเซลล์เม็ดเลือดขาว) คือ หน่วยทหาร และท่อน้ำเหลือง ที่ภายในจะเป็น น้ำเหลืองและเซลล์เม็ดเลือดขาว เชื่อมต่อระหว่างต่อมน้ำเหลืองด้วยกันเอง และเชื่อมต่อเข้ากับเส้นเลือด คือ เส้นทางเดินทัพของทหาร ม้าม ไขกระดูก ต่อมทอนซิล Payer's patch ที่อยู่ตามเยื่อบุทางเดินอาหาร เป็นที่ตั้งฐานทัพของทหารสิ่งแปลกปลอมต่างๆรวมทั้งจุลชีพก่อโรคจะผ่านเข้าสู่ต่อมน้ำเหลือง จากตำแหน่งที่เข้าสู่ร่างกาย เข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองเฉพาะที่ และผ่านทางเส้นเลือดและท่อน้ำเหลืองกระจายไปทั่วร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันนั้นอาจจำแนกได้หลายลักษณะดังนี้ 1) แบ่งตามการเกิด (Origins) 1.1) Innate or Natural Immunity - ปรากฏมีมาโดยกำเนิด - ส่วนมากเป็น non-antigen-specific factors เช่น ผิวหนัง 1.2) Acquired Immunity - พัฒนาขึ้นภายหลังในสายวิวัฒนาการ เฉพาะใน vertebrate - มีความจำเพาะ - Specificity - เกิดขึ้นหลังได้รับ (expose / immunization)สิ่ง / สารแปลกปลอมต่อ ร่างกายมาก่อนหน้านี้แล้ว ชนิดของ Acquired Immunity 1.2.1) Active Immunity : immunity ที่ ตอบสนองต่อ antigens - Natural active immunity: เกิดระหว่างการเกิดโรคและอย่างถาวร เช่นหัด คางทูม - Artificial active immunity: vaccines ของโรคที่ตายแล้วกระตุ้นให้ สร้าง immune ที่ถาวร 1.2.2) Passive Immunity - Natural passive immunity: immune จากแม่ให้ทารกในครรภ์ -Artificial passive immunity: immune serum จากคนหรือสัตว์อื่น เช่น ภูมิโรคคอตีบ บาดทะยัก 2) แบ่งตามความจำเพาะต่อสิ่งแปลกปลอม - Nonspecific defense mechanism หรือ Innate Immunity การ ป้องกันไม่จำเพาะต่อสิ่งแปลกปลอม -การป้องกันด่านแรกที่ไม่สามารถแยกชนิดของ foreign materials ได้ แต่ให้ผลป้องกันได้ทันที แบ่งเป็น 2 อย่าง คือ + External Physical Barrier : การป้องกันทางกายภาพของผิวบุลำตัว หรือบุผนังอวัยวะ การขับเมือก น้ำตา + Internal Physiological Reactions : การป้องกันโดยการทำลายหรือ กินของ phagocytic cells หรือ การบวม, การสร้างสารให้เม็ดตก ตะกอน, สารยับยั้งการเจริญของ virus - Specific defense mechanism การป้องกันจำเพาะต่อสิ่งแปลกปลอม - สามารถแยกระหว่าง foreign substances (antigens) โดยการผลิต specific proteins (antibodies) มาทำลาย foreign substances เหล่านี้ - เริ่ม ภายหลังเกิด nonspecific response ระยะหลังๆ ซึ่งเป็นระยะชั่วคราว มาก่อนแล้ว เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน เซลล์ที่ทำหน้าที่ในระบบภูมิคุ้มกัน สร้างมาจาก stem cells ที่อยู่ในไขกระดูก แบ่งเป็น 1) เซลล์ที่ทำหน้าที่กินสิ่งแปลกปลอม เช่น macrophage, monocyte,neutrophil 2) เซลล์ที่มี granule จำนวนมาก ได้แก่ eosinophil, basophil และ 3) เซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดเล็กที่เรียกว่า เซลล์ลิมโฟไซท์ (lymphocyte) ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ B cells และ T cells B cells ทำหน้าที่ผลิตภูมิคุ้มกันชนิดสารน้ำที่เรียกว่า แอนติบอดี โดยที่ B cell จะถูกกระตุ้นด้วยแอนติเจน แล้วจึงเปลี่ยนเป็น plasma cells เพื่อสร้างแอนติบอดีจำเพาะต่อแอนติเจนนั้น T cells ทำหน้าที่ด้านการตอบสนองทางด้านเซลล์ เพื่อกำจัดสิ่ง แปลกปลอมหรือจุลชีพแบ่งเป็น 1) เซลล์ CD4 หรือ helper T (Th) cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มี แอนติเจนชนิด CD4 บนผนังเซลล์ ทำหน้าที่ส่งเสริมเรียกเซลล์เม็ดเลือด ขาวอื่น เช่น B cell ในการสร้างแอนติบอดีจำเพาะ และ T cells เพื่อการ เปลี่ยนเป็น cytotoxic T cells (CTL) ดังนั้น CD4+ T cells จึงมีความ สำคัญมาก เพราะมีส่วนร่วมในการทำให้มีภูมิคุ้มกันทั้งแบบเซลล์และสารน้ำ 2) เซลล์ CD8 หรือ killer cells หรือ suppressor cells เป็นเซลล์เม็ด เลือดขาวที่มีแอนติเจนชนิด CD8 บนผนังเซลล์ ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ผิดปกติหรือที่ติดเชื้อจุลชีพ เซลล์เม็ดเลือดขาวพวกนี้จะรู้ได้ว่าเซลล์ชนิดใดเป็นสิ่งแปลกปลอม จากที่เซลล์ชนิดนั้นไม่มีโมเลกุลที่ผิวเซลล์ HLA class I ชนิดเดียวกับเซลล์ เม็ดเลือดขาวนั้น ส่วนสิ่งแปลกปลอมที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เรียกว่า แอนติเจน (antigen) และตำแหน่งบนแอนติเจนที่จำเพาะในการกระตุ้น เรียกว่า epitope แบ่งเป็น B-cell epitope กระตุ้น B-cell เพื่อสร้าง แอนติบอดีจำเพาะ และ T-cell epitope กระตุ้น T-cell

T-cell (ทีเซลล์) เป็นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันชนิด lymphocyte ที่ทำหน้าที่แข็งขันที่สุด โดย T lymphocyte เริ่มงานเมื่อได้รับสัญญาณจาก APC มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันด้านเซลล์ เรียกว่า cell-mediated immunity (CMI)  ซึ่งที่สำคัญมี 3 ชนิด คือ

            1) T helper หรือ CD4 มีหน้าที่ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน เมื่อได้รับสัญญาณจาก APC มันจะกลายเป็น sensitized T cell ที่มีอานุภาพสูง หลั่งสารมากมายหลายชนิดออกมาจากเซลล์เรียกว่า cytokines เพื่อกระตุ้นเซลล์ชนิดต่างๆ ในระบบภูมิคุ้มกันให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนระดมพล และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเชื้อโรคเหมือนทหารที่ฮึกเหิมพร้อมออกศึก

            2) T suppressor หรือ CD8 มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม อีกทั้งยับยั้งการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันเมื่อหมดความจำเป็นแล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายต่อร่างกายจากการทำงานที่เกินเลยของระบบภูมิคุ้มกัน

            3) natural killer cell เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่ทำลายเซลล์มะเร็ง และเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสเป็นหลัก
        จะเห็นว่าเซลล์เหล่านี้ทำงานประสานกันอย่างดีเยี่ยม เพื่อรักษาสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันไม่มากไปหรือน้อยไปจนเกิดความเสียหายตามมา
        ในยาสมุนไพรจีนบางชนิดมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการทำงานของ T lymphocyte ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพราะเมื่อระบบภูมิคุ้มกันมีประสิทธิภาพ ย่อมส่งเสริมให้ผู้ป่วยรักษามะเร็งอย่างได้ผล ครบตามแผนที่วางไว้ โดยมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ขอรับข้อมูลสมุนไพรจีนกระตุ้นการทำงานของ T lymphocyte
บริษัท เฟยดา จำกัด  FEIDA CO., LTD.
66 อาคารคิวเฮ้าส์ ชั้น 17 ห้อง 1707 ถ.สุขุมวิท 21(อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110 หรือโทร 0-2264-2217-9

ภูมิคุ้มกันกับโรคมะเร็ง
ภูมิคุ้มกันมาจากไหน
              1) มาจากแม่สู่ลูก  :  เป็นภูมิคุ้มกันที่ผ่านทางรกจากแม่สู่ลูกขณะอยู่ในครรภ์ ส่วนใหญ่เป็น IgG ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะค่อยๆ ลดลง และหมดไปเมื่อทารกอายุ 6 เดือน ทารกแรกคลอดจึงได้ภูมิคุ้มกันนี้คอยป้องกันโรคต่างๆ ขณะร่างกายยังอ่อนแอ

              2) ภูมิคุ้มกันที่ได้จากน้ำนมแม่ : ส่วนใหญ่เป็น IgA

              3) ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเมื่อมีการติดเชื้อตามธรรมชาติ โดยระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อเหล่านั้นและส่วนใหญ่คงอยู่ในร่างกายตลอดชีวิต หากเชื้อเดิมเข้าสู่ร่างกายอีก ก็จะถูกกำจัดออกไปโดยไม่ทำให้เกิดโรค เช่น หัด หัดเยอรมัน คางทูม สุกใส ไวรัสตับอักเสบบี

              4) ภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการได้รับวัคซีน (active immunity) เป็นการเลียนแบบการติดเชื้อในธรรมชาติ โดยใช้เชื้อที่ทำให้อ่อนฤทธิ์ หรือบางส่วนของเชื้อที่มีคุณสมบัติเป็น antigen เข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโดยไม่เกิดโรคอย่างการติดเชื้อโดยธรรมชาติ ได้แก่ วัคซีนชนิดต่างๆ ที่ให้ในเด็กประมาณ 20 ชนิด และวัคซีนผู้ใหญ่อีกหลายชนิด

              5) ภูมิคุ้มกันที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้ฉีดเข้าไปในร่างกายให้ออกฤทธิ์ทันที (passive immunity) เรียกว่า immunoglobulin ใช้ในกรณีที่รอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันไม่ทัน ภูมิคุ้มกันเหล่านี้อยู่ในร่างกายไม่นานก็หมดไป
ความสัมพันธ์ของภาวะภูมิคุ้มกันกับมะเร็ง
      ระบบภูมิคุ้มกันประกอบด้วยเซลล์อิสระชนิดต่างๆ มากมาย ที่ทำหน้าที่ป้องกันร่างกายจากการรุกรานของแบคทีเรีย พาราสิต เชื้อรา และการเติบโตของเซลล์มะเร็ง เมื่อมีภาวะภูมิคุ้มกันโรคต่ำ อาจหมายถึงกำลังมีโรคต่างๆ เกิดขึ้น การเกิดการเติบโตและการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งมีความสัมพันธ์กับภาวะของภูมิคุ้มกันร่างกายเช่นกัน
      ขณะเดียวกันการผ่าตัดและเคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง อาจมีผลทำลายระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยได้ปัญหาที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงหรือบกพร่องลง เป็นปัญหาหนึ่งที่ทำให้การรักษาผู้ป่วยมะเร็งไม่ประสบผลสำเร็จ  ซึ่งจะเห็นได้จากการกลับเป็นมะเร็ง หรือการลุกลามไปจุดอื่น
      วิธีการหนึ่งที่จะทำให้การรักษาผู้ป่วยมะเร็งได้ผลดีขึ้น คือ การเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อเซลล์มะเร็ง เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที (T-lymphocyte) มีความสามารถในการแบ่งแยกเซลล์มะเร็ง และสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ระดับหนึ่ง ดังนั้นการติดตามการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที (T-lymphocyte) จึงมีความสำคัญมากและบ่งบอกถึงภาวะของภูมิคุ้มกันโรคของผู้ป่วยมะเร็ง

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด (9)

มะเร็งเป็นโรคที่เกี่ยวกับร่างกายโดยรวม
มะเร็งเป็นโรคที่สภาพร่างกายเป็นตัวก่อให้มันเกิดขึ้นมา การรักษามะเร็งของแพทย์จีนจึงไม่เน้นเฉพาะเนื้องอก แต่
การแพทย์แผนจีน เป็นการแพทย์ที่รักษาโรคโดยให้ความสำคัญกับการปรับสภาพของร่างกายเป็นหลัก  ไม่ใช่คำนึงถึงแต่อาการ และความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเนื่องจากโรคเท่านั้น  ความโดดเด่นของการแพทย์จีน คือ  การให้ความสำคัญกับการปรับสภาพของร่างกายทั้งหมด  ซึ่งเป็นพื้นฐานของการก่อให้เกิดอาการและความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเนื่องจากโรค

      ถ้าจะว่าไปแล้ว ในจุดที่ว่าสามารถปรับอาการของโรค และความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเนื่องจากโรคได้อย่างรวดเร็วนั้น  การแพทย์ตะวันตกจะแสดงให้เห็นผลที่เด่นชัดกว่า แต่สภาพร่างกายทั้งหมด หรืออาการและความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอันเนื่องจากโรค  ถึงแม้จะปรับให้ดีขึ้นได้แล้ว  แต่ตราบใดที่สภาพของร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง  โรคเดิมก็สามารถกลับมาเป็นได้อีก

      ถึงตรงนี้ให้นึกถึงคำพูดที่ว่า “มะเร็งเป็นโรคทางพันธุกรรม เป็นโรคทางภูมิคุ้มกัน”  ในทางการแพทย์นั้นอาจจะเหมือนเป็นคำพูดที่ดูจะสรุปอะไรง่ายๆ ไปสักนิด  แต่ก็อาจกล่าวได้ว่า “มะเร็งเป็นโรคที่สภาวะ และ สภาพของร่างกายเป็นตัวก่อมันขึ้นมา”

      ในโลกของยาสมุนไพรไม่เพียงแต่ให้ความสนใจกับเนื้อร้าย ซึ่งเป็นส่วนที่เกิดความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเนื่องจากโรคเท่านั้น แต่จะให้ความสำคัญกับการปรับสภาวะและสภาพของร่างกายซึ่งยอมให้เนื้อร้ายเจริญเติบโตด้วย หรืออาจกล่าวได้ว่ามุมมองที่เราสรุปกันในที่สุดคือ  “มะเร็งเป็นโรคทางพันธุกรรม เป็นโรคทางภูมิคุ้มกัน”  ตามแนวความคิดของการรักษาด้วยสมุนไพรนั้นคิดเช่นนี้มาตั้งแต่อดีตแล้ว

      นายแพทย์หวังเจิ้นกั๋วซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดยาน้ำเทียนเซียน ได้บันทึกไว้ในหนังสือว่า  <ประเทศจีนเป็นขุมทรัพย์ของการแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  การแพทย์จีนเป็นการสั่งสมประสบการณ์ที่สำคัญในการต่อสู้กับโรคต่าง ๆ มาหลายพันปีของชนชาติจีน  เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมสืบทอดที่มีพลัง  และมีคุณค่าที่สุดที่ชนชาติจีนคิดค้นขึ้น> 

      ทฤษฎีในการรักษาและยาที่นำมาใช้ของการแพทยจีนนั้นต่างจากการแพทย์ตะวันตกมาก  เป็นผลสรุปจากประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยมานานหลายพันปี  ไม่เพียงแต่มีผลในการรักษามะเร็งที่ดีเท่านั้น  แต่ยังช่วยเสริมจุดอ่อนของการแพทย์ตะวันตกได้ในหลาย ๆ กรณีอีกด้วย

      ในบันทึกโบราณของประเทศจีนนั้น  มีการบันทึกเกี่ยวกับกลไกสาเหตุของโรคมะเร็ง อาการที่เรารู้สึกได้รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลไว้มากมาย  มีการสั่งสมความรู้เกี่ยวกับมะเร็งไว้อย่างเป็นระบบ ซึ่งทฤษฎีและวิธีการต่าง ๆ ที่บันทึกไว้นั้น  ยังคงใช้กันอยู่ในการรักษาพยาบาลของการแพทย์จีนในปัจจุบันนี้  และให้ผลการรักษาที่ดีเยี่ยม

* ขอข้อมูลการรักษาและการดูแลผู้ป่วยมะเร็งโดยละเอียด ฟรี! FEIDA CO., LTD.  โทร.089-9801039

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด (10)

บทบาทสมุนไพรจีนกับการต้านโรคมะเร็ง
ช่วยเสริมผลการรักษาให้เต็มร้อย
     
      สำหรับโรคมะเร็ง  การรักษาโดย การผ่าตัด ฉายแสง และเคมีบำบัด ถือเป็นการรักษาหลักที่มีความจำเป็น แพทย์แผนปัจจุบันจะให้คำปรึกษาและพิจารณาใช้การรักษาที่เหมาะสมในแต่ละบุคคล  แต่ผลการรักษามักมีผลกระทบต่อร่างกาย อาทิ ทำให้เลือดลมและสมรรถภาพของระบบต่างๆ ในร่างกายถูกบั่นทอน  ผู้ป่วยจะมีสุขภาพอ่อนแอ  การนำสมุนไพรจีนมาเยียวยารักษาผู้ป่วยควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบัน  จะให้ผลช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยแผนปัจจุบันแต่เพียงอย่างเดียว  และสมุนไพรจีนยังช่วยลดความเจ็บปวดทรมานจากอาการโรคและจากผลข้างเคียงจากการรักษาได้เป็นอย่างดี  เมื่อเซลล์มะเร็งถูกจู่โจมทำลายขณะเดียวกันระบบภูมิคุ้มกันได้ถูกเสริมสร้างขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงได้เร็วยิ่งขึ้น

      ตามหลักการของแพทย์จีนกล่าว มะเร็งเกิดจาก 
(1) การติดขัดของชี่ 
(2) เลือดคั่งจับเป็นก้อน 
(3) พิษร้อน 
(4) การอุดตันของเสมหะ
      ดังนั้นแพทย์จีนจึงยึดแนวทางการรักษาแบบองค์รวม  รักษาสิ่งที่ดีไว้และขจัดของเสียที่เป็นพิษออกไป  ปรับสมดุลของร่างกาย  โดยแบ่งเป็น 4 แนวทางการรักษา  คือ
(1) ขับร้อนถอนพิษ 
(2) กระจายเลือดคั่งทำให้เลือดไหลเวียนได้คล่อง 
(3) ระงับปวด สลายก้อนเนื้อ 
(4) เสริมชี่ บำรุงเลือด
      โดยแพทย์แผนจีนอาศัยทฤษฎีข้างต้นค้นคว้า จัดหาสมุนไพรจีนมาทำเป็นยาตำรับเพื่อดูแลร่างกายผู้ป่วยมะเร็งแบบองค์รวม  ไม่ใช่มุ่งเน้นรักษาแต่ก้อนเนื้องอกในร่างกายผู้ป่วย  เพราะถึงแม้เนื้องอกจะเกิดเฉพาะที่  แต่แท้จริงแล้วโรคเกิดเพราะร่างกายอ่อนแอ  หรือมีอาการพร่อง  การรักษาสาเหตุของโรคด้วยยาจีนจะไม่กระทบกระเทือนถึงสภาพร่างกายทั่วไปของผู้ป่วย ช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากผลข้างเคียงของการรักษาแผนปัจจุบัน ในบางกรณียังช่วยเสริมผลการรักษาให้ได้ผลยิ่งขึ้น  สมุนไพรจีนมีผลข้างเคียงน้อยมาก ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น สุขภาพโดยรวมก็จะได้รับการปรับฟื้นฟูโดยเร็ว

      ข้อดีในการใช้สมุนไพรจีนต้านมะเร็ง ได้แก่
1.  แนวทางแบบองค์รวม  ใช้สมุนไพรรักษาโดยคำนึงถึงสภาพร่างกายโดยรวมของผู้ป่วย  ไม่ใช่มุ่งเน้นรักษาแต่ก้อนเนื้องอกในร่างกายผู้ป่วย  เพราะถึงแม้เนื้องอกจะเกิดเฉพาะที่  แต่แท้จริงแล้วโรคเกิดเพราะร่างกายอ่อนแอ  หรือมีอาการพร่อง  การรักษาสาเหตุของโรคด้วยยาจีนจะไม่กระทบกระเทือนถึงสภาพร่างกายทั่วไปของผู้ป่วย
2. บรรเทาความทุกข์ทรมานที่ได้รับจากผลข้างเคียงของการผ่าตัด ฉายแสงหรือเคมีบำบัด  ทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิผลของการผ่าตัด  การฉายแสง  หรือเคมีบำบัด
3. ผลข้างเคียงน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลย  ไม่ส่งผลกระทบต่อไขกระดูกหรือระบบการย่อย
4. ไม่กระทบกระเทือนต่อการใช้แรงงาน  เมื่ออาการเฉพาะส่วนดีขึ้น  สุขภาพโดยรวมก็จะได้รับการปรับฟื้นฟูให้แข็งแรงขึ้น  ผู้ป่วยจึงสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

      จากการทดลองทางคลินิกในประเทศจีน  พบว่าการใช้สมุนไพรจีนควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบันสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดของผู้ป่วยลงได้ 94.7%  ช่วยให้เจริญอาหาร 91.7% ช่วยให้การกลืนอาหารดีขึ้น 88.9% นอกจากนี้ยังพบว่า
      -  การใช้สมุนไพรจีนก่อนการผ่าตัดจะช่วยให้ก้อนเนื้อหดเล็กลง  ช่วยเสริมให้การผ่าตัดดำเนินไปอย่างราบรื่น  เพราะไม่ต้องเปิดปากแผลกว้างมาก  ลดความกังวลใจของผู้ป่วยทั้งยังช่วยในการสมานบาดแผลที่ผ่าตัดให้เร็วขึ้น  ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น
      -  ถ้ากินสมุนไพรจีนควบคู่กับการฉายแสงหรือเคมีบำบัด  จะช่วยเสริมประสิทธิผลของแผนปัจจุบันและลดอาการข้างเคียงเช่น  อาการคลื่นไส้อาเจียน  ท้องเสีย  แผลเปื่อยในช่องปาก  โลหิตจาง  เม็ดเลือดขาวต่ำ  เกล็ดเลือดต่ำ  ผมร่วง  อ่อนเพลีย  เป็นต้น
    การฉายแสงหรือเคมีบำบัด ยังคงมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันนี้  ดังนั้นถ้าได้ใช้ควบคู่กับการกินสมุนไพรจีนก็จะช่วยลดและบรรเทาผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นดังกล่าว  จากการทดลองและค้นคว้าทางคลินิกในประเทศจีนยังพบว่า  ผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยการฉายแสงจะมีผลการรักษา 87.7%  แต่ถ้ารักษาควบคู่กับการกินสมุนไพรจีนผลการรักษาจะดีขึ้นถึง 100% บางรายอาการดีขึ้น 98.3%

      จากข้อดีและบทบาทของสมุนไพรจีน ในอนาคตอันใกล้นี้สมุนไพรจีนจะเป็นที่แพร่หลายและนำมาใช้ในการดูแลบำรุงสุขภาพ  นำมาใช้ในการป้องกันและรักษาโรคกันมากยิ่งขึ้น  เป็นทางเลือกที่สำคัญอีกสาขาหนึ่งของผู้ป่วยมะเร็ง
  * ติดต่อขอรับข้อมูล การดูแลสุขภาพ ฟรี! คลิก หรือโทร 02-264-2217-9

Re: อิมมูนบำบัด
116

Re: อิมมูนบำบัด

อิมมูนบำบัด (11)

ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว
ยาเคมีบำบัดที่ใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็งนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่ามีผลข้างเคียงหลายประการ เพราะยาเคมีบำบัดส่วนใหญ่ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีฤทธิ์ที่ไม่จำเพาะเจาะจง จึงเข้าไปทำลายเซลล์ทุกชนิดในร่างกาย ที่กำลังมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอยู่ในวัฏจักรเซลล์อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าเซลล์นั้นจะเป็นเซลล์มะเร็ง หรือเซลล์ที่ปกติ  ในร่างกายของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ เป็นหญิงหรือชาย ต่างก็มีเซลล์ปกติหลายชนิดที่ไม่ใช่เซลล์มะเร็ง แต่ก็มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอยู่อย่างสม่ำเสมอ เช่น เซลล์ไขกระดูก เซลล์ผิวหนัง เซลล์รากผม เซลล์เยื่อบุภายในช่องปาก และเซลล์เยื่อบุภายในท่อทางเดินอาหาร ดังนั้นยาเคมีบำบัดก็จะส่งผลทำลายเซลล์ต่างๆเหล่าด้วย  ทำให้เกิดผลข้างเคียงหลายประการ  เช่นอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง ท้องเสียหรือท้องผูก มีแผลในปาก โลหิตจางเพราะภาวะไขกระดูกถูกกด  ซึ่งภาวะที่ไขกระดูกถูกกดนี้ จัดเป็นผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมาก เพราะไขกระดูกเป็นแหล่งของเซลล์ต้นกำเนิด (pluripotent hematopoietic stem cells) ที่จะเจริญเติบโตและพัฒนาไปเป็นเซลล์ต่างๆทุกชนิดในกระแสเลือด  ภาวะเซลล์ไขกระดูกถูกกด หมายถึง ภาวะที่เซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกถูกยาเคมีบำบัดทำลาย  ทำให้ระดับของเม็ดเลือดทั้งหมดในกระแสเลือด คือเม็ดเลือดแดง  เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดมีปริมาณลดต่ำลง 
โดยปกติเม็ดเลือดขาว  เปรียบเสมือนทหารที่จะคอยต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ  ถ้าปริมาณเม็ดเลือดขาวในร่างกายต่ำจะทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้ป่วยจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย  มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยสาเหตุจากการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ดังนั้น ภายหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับยาเคมีบำบัด  แพทย์จะทำเจาะเลือดเพื่อส่งตรวจวัดระดับของเม็ดเลือดขาว หากพบว่าระดับของเม็ดเลือดขาวต่ำกว่าปกติ โดยทั่วไปแพทย์จะฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีสองประเภทคือ Granulocyte colony-stimulating factors (G-CSFs) และ Granulocyte macrophage colony-stimulating factors (GM-CSFs) ทั้ง G-CSFs และ GM-CSFs จัดเป็นยาที่จัดอยู่ในกลุ่มของไซโตคายน์

ไซโตคายน์ คือ สารที่เซลล์สร้างและหลั่งออกมาเพื่อใช้เป็นตัวกลางในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ทั้ง G-CSFs และ GM-CSFs เป็นไซโตคายน์ในกลุ่ม haematopoietic growth factor ที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโต การแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และพัฒนาการของเซลล์ต้นกำเนิดในไขกระดูกไปเป็นเซลล์เม็ดเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด granulocytes (granulopoiesis) ซึ่งประกอบด้วย นิวโทรฟิล (neutrophils), เบโซฟิล (basophils) และ อีโอสิโนฟิล (eosinophils) และนอกจากนั้น CSFs ยังมีบทบาทต่อความสามารถในการทำลายจุลชีพ (microbicidal functions) ของเซลล์เหล่านี้ด้วย พยาธิสภาพที่ทำให้ระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลในเลือดลดต่ำลง (neutropenia) ที่พบได้บ่อยที่สุดคือ neutropenia  ที่เป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง
จากการที่เทคโนโลยีทางด้านอณูชีววิทยาและด้านวิศวพันธุกรรมศาสตร์มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำการศึกษาเพื่อบ่งชี้ยีนของ colony-stimulating factors (CSFs) และทำการโคลนยีนเพื่อเพิ่มจำนวนขึ้นมาได้ในระดับของการผลิตเป็นเภสัชภัณฑ์ขึ้นมาได้ จากนั้นเป็นต้นมา CSFs ก็เป็นยาที่ใช้กันอย่างกว้างขวางเพื่อช่วยป้องกันและรักษาสภาวะ neutropenia ที่เกิดจากการใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง รวมทั้ง neutropenia ที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ ด้วย
ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน  มีอยู่สองประเภท คือ
1. Granulocyte colony-stimulating factors (G-CSFs) ประกอบด้วย
a. Filgrastim
b. Lenograstim
c. Nartograstim
d. Pegfilgrastim (pegylated filgrastim)
2. Granulocyte macrophage colony-stimulating factors (GM-CSFs) ประกอบด้วย
a. Sargramostim
b. Molgramostim
c. Regramostim
          การใช้ในทางคลินิกนั้น พบว่ามีการใช้ G-CSFs มากกว่า GM-CSFs เนื่องจาก GM-CSFs มีผลไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นมากกว่า ในการป้องกันและรักษา neutropenia ที่เกิดจากการใช้ยาเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็งนั้น G-CSFs  ที่มีการนำใช้มากที่สุดเพื่อ  คือ Filgrastim
          ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวในกลุ่ม CSFs ทั้งหมดให้เข้าสู่ร่างกายโดยวิถีของการบริหารยาทางระบบ (systemic) โดยอาจให้ยาเข้าร่างกายทางเส้นเลือดดำ (intravenous) หรือ เข้าที่บริเวณใต้ผิวหนัง (subcutaneous)  ผลข้างเคียงของยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวนั้น อาจพบได้แต่ไม่รุนแรง โดยพบว่า 20–30% ของผู้ที่ได้รับยามีอาการปวดกระดูกหรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบ้าง เนื่องจากมีการเร่งสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวจากไขกระดูกอย่างรวดเร็ว และบางครั้งก็พบมีไข้หรือผื่นแดงตามผิวหนัง  นอกจากนี้ อาจพบมีอาการท้องร่วง มีปฏิกิริยาตอบสนองบริเวณที่ฉีดยา และมีอาการบวมน้ำ  ซึ่งอาการเหล่านี้พบว่าเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ได้รับยาประเภท GM-CSF  มากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาประเภท G-CSF



INSURANCETHAI.NET
Line+