Digital Marketing
1313

Digital Marketing

1. Digital Marketing ไม่ได้ทำงานง่ายกว่า Traditional Marketing

การตลาดก็คือการตลาด เพียงย้ายจากสื่อออฟไลน์มาสู่สื่อออนไลน์ แต่ขั้นตอนอื่นๆยังคงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย การผลิตสื่อให้น่าสนใจ การสร้างแบรนด์ การสร้างเนื้อหา (content) ออกแบบรูปภาพ คำพูด สี Mood & Tone

และด้วยความที่ต้นทุนการเข้าถึงสื่ออินเตอร์เน็ตนั้นต่ำมาก ทำตอนนี้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่แค่องค์กร หรือเอเจนซี่ แต่รวมไปถึงรายย่อย และบุคคลทั่วไปก็สามารถเข้ามาประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการของตัวเองได้ทั้งสิ้น ทำให้ปริมาณของเนื้อหาบนอินเตอร์เน็ตมีมหาศาลเกินที่ผู้กลุ่มเป้าหมายจะรับไหว นักการตลาดจึงต้องยิ่งทำงานหนักขึ้นเพื่อจะดึงความสนใจของกลุ่มเป้าหมายให้หยุดที่โฆษณาของตน

2. Digital Marketing ก็ต้องใช้ต้นทุนเหมือนกัน

อินเตอร์เน็ตนั้นมีต้นทุนต่ำในการเข้าถึง และเริ่มต้นสร้างสื่อได้ง่าย และบางครั้งก็ฟรี เช่นการเปิด Facebook Page หรือการเปิดเว็บไซต์ด้วย Blogger.com แต่การจะสร้างการรับรู้นั้นต้องอาศัยเครื่องมือ และเทคนิคการตลาดมากมายที่ล้วนมีค่าใช้จ่าย อาทิ

• จ้างทำเว็บไซต์ ดูแลเว็บ พัฒนาเว็บ แก้ปัญหาต่างๆ spam , hacker ฯลฯ
• การผลิต Digital Content เช่น การจ้างเขียนบทความ จ้างรีวิว ฯลฯ
• การทำ Search Engine Marketing หรือ SEM
• การทำ Search Engine Optimize หรือ SEO
• การทำ Facebook Ads ค่าโฆษณาฯลฯ
• การทำระบบ Lead Generation และ Email Marketing
• การออกแบบ Logo และ Corporate Identity หรือ CI
• การโฆษณาแบนเนอร์

เหล่านี้มีค่าใช้จ่าย และราคาของมันไม่น้อยกว่าการตลาดแบบออฟไลน์เลย แต่สิ่งที่ได้คือ ความมีประสิทธิภาพ และคามคุ้มค่า

3. Digital Marketing ไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในทันที

คนจำนวนไม่น้อยผิดหวังกับ Digital Marketing เพราะเข้าใจว่าจะได้ผลลัพธ์ทันที หรือภายใน 1-2 สัปดาห์

Warren Buffett บอกว่า

“No matter how great the talent or efforts, some things just take time. You can’t produce a baby in one month by getting nine women pregnant.”

ธุรกิจเป็นเรื่องของความอึด และการยืนระยะจนกว่าเวลา จังหวะ และโอกาสจะบรรจบกัน หรือที่ผมนิยมเรียกว่า Momentum การตลาดก็เช่นกัน

คนรู้จักคนหนึ่งทำอาชีพด้านการอบรม โดยที่ผ่านมาเธอใช้การตลาดแบบ Word of Mouth หรือ ปากต่อปาก ศัพท์อย่างเป็นทางการเรียกว่า Reference Marketing และได้ผลตอบรับที่ดี แต่เมื่อถึงครั้งแรกในชีวิตที่เธอลองหันมาทำ Digital Marketing เปิด Facebook Page เพียงเดือนเดียว ก็โพสต์ขายคอร์สสัมมนา และยิงโฆษณาทันที

สัมมนาครั้งนั้นเป็นสัมมนาฟรี แต่ปรากฏว่าไม่มีใครมาลงทะเบียนเรียนเลย เพราะอะไร เพราะ Momentum ยังไม่ได้ ไม่เคยทำ Digital Marketing มาก่อน ไม่ได้บิวต์กระแส คนยังไม่เกิดการรับรู้ ยังไม่ไว้ใจ —

นี่คือการที่คิดว่ามันง่าย ยิง Ads ก็จะได้ผล
Digital Marketing มีสิ่งที่เหนือกว่า Traditional Marketing อยู่หลายอย่าง เช่น ต้นทุน ความง่าย ประสิทธิภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ภายในเวลาอันสั้น เพราะมันมีองค์ประกอบมากกว่านั้น คุณต้องมีแผน และแผนการที่เหมาะสมด้วย หรือ คุณต้องมีกลยุทธ์นั่นเอง เพราะ DM เป็นเเค่เครื่องมือเท่านั้น

4. Digital Marketing เป็น Passive

ไม่ใช่ว่าธุรกิจและการตลาดออนไลน์คือ 100% Automate แค่ Setting ระบบแล้วก็ปล่อยวางมันก็จะทำงานทำเงินให้คุณโดยที่คุณไม่ต้องทำอะไร ถ้าคุณ Set ระบบดีมากจริง ๆ และมีกำลังจ้างคนเก่ง ๆ มาบริหารกิจการแทนคุณ คุณอาจจะมีความเป็น Passive ในระดับสูง แต่ก็ไม่อาจปล่อยปะละเลยที่จะเข้ามาดูแลได้ แต่หากคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ที่ยังดูแลหลาย ๆ ส่วนด้วยตัวเอง การตลาดออนไลน์จะ Active สุดๆ เพราะคุณต้องวัดผลแบบวันต่อวัน

5. Digital Marketing ใช้ได้กับธุรกิจ B2C ,B2B,SEME และ อื่นๆได้

คนขายครีม คนขายอาหารเสริม ทำออนไลน์ เป็นการตลาดสำหรับ B2C
ธุรกิจ SME ธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจ B2B หรือ Business to Business ก็ใช้การตลาดออนไลน์ได้เช่นกัน

B2C ที่ทำแบบครบวงจร มันคือระบบ E-Commerce เต็มรูปแบบที่มีหน้าเว็บ มี Shopping Cart และระบบการชำระเงินออนไลน์
แต่ B2B ที่สินค้าและบริการมีราคาสูง มีความซับซ้อนมากกว่าก็สามารถใช้การตลาดออนไลน์เพื่อ Educate กลุ่มเป้าหมาย และทำ Lead Generation เพื่อนำไปสู่กระบวนการทำนัดเข้าไปพบลูกค้า ซึ่งจะทำให้ฝ่ายขายคุยง่ายขึ้นกว่าการทำนัดแบบ Cold Call ในอดีต

อินเตอร์เน็ตช่วยให้คุณเริ่มต้นทำการตลาดได้ง่ายขึ้น แต่การจะประสบความสำเร็จนั้นยังคงต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และการวางแผนที่ดี ไม่ต่างจากการทำธุรกิจและการตลาดแบบ Traditional Marketing

Marketing หรือ การตลาด
คือการค้นหาความต้องการของลูกค้า และตอบสนองความต้องการเพื่อสร้างความพึงพอใจ ตรงกันข้ามกับ Selling หรือ การขาย

อดีตอาจารย์ด้านการตลาดของมหาวิทยาลัย Harvard นามว่า Theodore Levitt ได้กล่าวว่า Selling หรือการขาย เป็นการอาศัย วิธีการ หรือ กุศโลบาย ในการเจรจาและนำเสนอ เพื่อทำให้คนนำเงินออกมาแลกกับสินค้าและบริการของคุณ โดยไม่ได้สนใจเรื่องคุณค่าในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ นั่นจึงเป็นที่มาว่า นักขายที่เก่ง จะขายอะไรก็ขายได้ โดยไม่ได้สัมพันธ์กับคุณภาพหรือราคาเสมอไป

แต่ไม่ได้แปลว่า คุณจะทำสินค้าไม่ดีออกมาขาย เพราะในฝั่งของ Marketing ทำหน้าที่ค้นหาความต้องการของลูกค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการ ตอบโจทย์ ตอบสนอง Need สร้างคุณค่า และสร้างการรับรู้ กระบวนการเหล่านี้จะสนับสนุนให้กระบวนการขาย ง่ายขึ้น และเกิดคุณค่าต่อตลาดในระยะยาว ได้แก่ Brand, Brand Loyalty, Repeating Customer ฯ

การตลาดแบบดั้งเดิม หรือ Traditional Marketing
สร้างการรับรู้ผ่านสื่อ ได้แก่ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยาสาร ป้ายตามทาง ป้ายบนตึก อีเวนต์ ฯลฯ

เมื่ออินเตอร์เน็ตแพร่หลายจึงพัฒนามาเป็น Digital Marketing หรือหลายคนอาจเรียกว่า Online Marketing หรือ Internet Marketing ก็แล้วแต่จะเรียก เป้าหมายคือสื่อสารและสร้างการรับรู้ แต่เปลี่ยนจากสื่อ Offline มาเป็น Online เช่น

ป้ายแบนเนอร์ในเว็บไซต์ต่าง ๆ
Search Engine Marketing = SEM
Search Engine Optimization = SEO
Email Marketing
Social Media Marketing
Digital Content Marketing เช่น การจ้างลงบทความในเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง, การจ้าง Blogger และ Influencer ในการเขียนบทความ – เหล่านี้คือตัวอย่างของการทำ Digital Marketing

การทำตลาดก็มีทั้งสายขาว สายเทา และดำ
ยกตัวอย่างสายดำ เช่น การโพสท์ไปยังเว็บบอร์ด หรือ เว็บไซต์เป้าหมายต่างๆ ในลักษณะ spam ซึ่งมักจะใช้เครื่องมือช่วย โพสท์ โดยตั้งค่าข้อความไว้ ระบุเว็บเป้าหมาย ให้โปรแกรมทำงาน ลงทะเบียนโดย bot และโพสท์ข้อความและลิ้งเข้าไป ส่งลิ้งกลับมาที่เว็บไซต์เราเป็นต้น
การพัฒนาของโปรแกรมอาจจะทำให้สามารถค้นหาเว็บไซต์เป้าหมายได้เอง โดยกำหนดคำที่ต้องการ keyword เช่น คำว่า "ประกันรถยนต์" เมื่อ bot เจอก็ดำเนินการโปรเซสต่อไป

มุมมองในการหาวิธีตอบสนองลูกค้าก็เปลี่ยนไป จากหลักการตลาดดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยคือ 4P ได้แก่ Products, Price, Promotion, และ Place โดย Jerome McCarthy ที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี 1960 ก็มีแนวโน้มไปเป็น 4C โดย Robert Lauterborn ในปี 1990 ได้แก่

Customer Need
จากเดิมที่คิดว่าขายอะไรดี ขายอะไรรวย ไปสู่การค้นหาความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า โดยอินเตอร์เน็ตช่วยให้แบรนด์สื่อสารและค้นหาความต้องการได้สะดวกขึ้น และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนอง Need เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็มได้จริง ๆ

Cost to Customer
ธุรกิจใหม่ใส่ใจต้นทุนที่ลูกค้าต้องแบกรับมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยลดต้นทุนสินค้าและบริการบางประเภท ทำให้ผลิตภัณฑ์บางชนิดคุณภาพดีขึ้นและราคาถูกลง

Communication

การสื่อสารการตลาดเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง เร็ว และประหยัด อาทิ Social media อย่าง Facebook และ Line@ และ Email marketing เป็นต้น

Convenience
ความสะดวกสบาย โดยสินค้าและบริการในปัจจุบัน และในหลาย ๆ อุตสาหกรรม สามารถเข้าถึงลูกค้าได้โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาซื้อหรือรับสินค้าเอง ทำให้ Places มีความจำเป็นน้อยลง

4C ทำการพลิกมุมมองจากเดิมที่เอาธุรกิจเป็นตัวตั้ง กลายมาเป็นเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง หาจุดเล็กจุดที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง และสร้างสินค้าและบริการขึ้นมาเติมเต็ม การทำเช่นนี้ช่วยให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่แตกแขนงจากธุรกิจเดิม ซึ่งค่อนข้างเข้ากับเทคโนโลยีปัจจุบัน

สินค้าและบริการใหม่ ๆ ในปัจจุบันออกมาในรูปแบบของ Software, Application และ Digital Services ที่บ้างก็มีต้นทุนต่ำลง บ้างก็ไม่ต้องมีหน้าร้าน บ้างก็ไม่ต้องมี Physical products เป็นของตัวเอง แต่สามารถขยายกิจการไปได้ทั่วประเทศ หรือแม้แต่ทั่วโลก เป็นต้น



INSURANCETHAI.NET
Line+