แต่งงานแล้วขาดอิสระ...จริงหรือ?
249

แต่งงานแล้วขาดอิสระ...จริงหรือ?

แต่งงานแล้วขาดอิสระ...จริงหรือ?

วันนั้น...คุณจะรู้ว่า ความเป็นอิสระที่คุณโหยหา คุณกลับพร้อมยอมแลกมันกับเพื่อนร่วมทางเพียงสักคน ที่จะคอยเป็นคู่คิดให้คุณได้อุ่นใจไปตลอดการเดินทาง อิสระที่คุณหวงแหน

วันนั้น...มันกลับแปรสภาพเป็น "ความอ้างว้าง"
เรามักได้ยินคำว่า
"โสด" คู่กับคำว่า "อิสระ"
ส่วน "แต่งงาน" มักตามมาด้วย "พันธะและการผูกมัด" เสมอ

ทุกคนเลยมักคิดกันว่า ถ้าอยากจะมีชีวิตที่อิสระ ก็ควรเป็นโสดต่อไปเถิด
อย่าพยายามหาเหามาใส่หัว หรือหาพันธะใดๆ มาผูกมัดเลย
เพราะมันจะทำให้ความเป็นตัวของตัวเอง และความอิสระที่เคยได้รับ หายไป!

และเราก็มักจะได้ยินเพื่อนๆ แซวกันว่า ถ้าใครคิดที่จะแต่งงาน ก่อนแต่งก็รีบๆ
ใช้ชีวิตโสดให้เต็มที่ เพราะโอกาสแห่งความเป็นอิสระของเราเริ่มนับถอยหลังแล้ว
โดยเฉพาะผู้ชายมักกลัวคำๆ นี้กันนัก ถ้าผู้ชายคนไหนคิดที่จะแต่งงาน
แสดงว่าเขาสละแล้วซึ่งผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม
และดูเป็นผู้ชายช่างเสียสละเหลือเกิน

หลายคนมองว่า การที่ผู้ชายสักคนคิดที่แต่งงานกับผู้หญิงคนไหน
แสดงว่าเขาต้องรักผู้หญิงคนนั้นมากจนยอมเสียสละเธอไปไม่ได้ แต่ยอมได้!
ถ้าตัวเองต้องขาดความเป้ฯอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่หวงแหนมันซะเหลือเกิน
ผู้หญิงคนนั้นก็น่าที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองที่ทำให้ผู้ชายสยบแทบเท้าเธอได้

แต่ในความรู้สึกของฉัน...การแต่งงานกับความเป็นอิสระ มันสามารถอยู่ร่วมกันได้
แม้ว่าการแต่งงานจะทำให้เราต้องคำนึงถึงใครอีกคนก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร
ซึ่งถ้าเป็นเหมือนเมื่อก่อน เราอาจจะคิดเองตัดสินใจเองได้ในทุกๆ เรื่อง นั่นก็เหมือนกับว่า
ความเป็นส่วนตัวของเราได้หายไป เราต้องแชร์อะไรหลายๆ อย่างร่วมกับใครอีกคน
แล้วจะบอกว่า "เรายังเป็นอิสระได้...ได้ยังไง ?"

ฉันก็ยังรู้สึกว่า "ได้"

เพราะเมื่อมีความผูกพันเป็นจุดเชื่อมโยง
เราจะยินดีไปโดยปริยายที่จะมีใครอีกคนมายืนอยู่ข้างๆ ช่วยคิดช่วยแก้ปัญหา
ไม่ว่าเราจะทำอะไร มันจะเป็นความคิดที่มีคนสองคนเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยเสมอ
เราจะคิดอย่างนั้นไปเองโดยอัตโนมัติ อาการที่คิดจะทำอะไรคนเดียว ไปคนเดียว
ตัดสินใจคนเดียว มันก็จะเปลี่ยนไปเอง นั่นต้องหมายถึงคุณยินดีที่จะแต่งงานเองนะ
ไม่ได้ถูกบังคับ ฉันรู้สึกว่า เรายังมีอิสระได้เท่าเดิม แถมเพิ่มเติมความมั่นใจ

"ความอิสระ" มันขึ้นอยู่กับข้อตกลงของคุณทั้งสองคน ถ้าในช่วงเวลาที่คบหากัน
ต่างฝ่ายต่างต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตประจำวันมากเหลือเกิน
อะไรที่เคยเป็น เคยชอบ เคยสนใจ กลับไม่ได้ทำ เพราะอีกฝ่ายไม่ชอบ
หรือต้องกลายเป็นคนยอมทำตามความคิดของอีกคน
โดยที่ไม่เคยโต้แย้ง แม้ในใจจะอึดอัด
คุณต้องเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างที่คุณเคยทำ
เพียงเพื่ออยากจะทำตามใจใครอีกคน ตอบได้เลยว่า

"คุณจะรู้สึกขาดอิสระแน่นอนเมื่อคุณแต่งงาน"

แต่หากคุณสามารถเป็นตัวของคุณเองได้ตลอดเวลาที่อยู่กับเขา
เขารับฟังความคิดเห็นของคุณ เขายินดีในสิ่งที่คุณเป็น และคุณก็ยินดีในสิ่งที่เขาเป็น
เมื่อคนสองคนมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน วิถีชีวิตที่คล้ายกัน
โดยที่ต่างฝ่ายไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมาก
ไม่มีเงื่อนไขบังคับให้ใครต้องทำอะไรเพื่อใคร
เพียงเพิ่มหน้าที่ของการเป็นสามีภรรยาที่ดีขึ้นมา
ฉันว่าสิ่งนั้นคือ "ความโชคดีที่สุด" ของคนคู่นั้น
เพราะเขาทั้งสองสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระเหมือนเดิม โดยมีความเข้าใจ
ความผูกพันเป็นเชือกที่คอยเชื่อมโยงคนสองคนไว้
ไม่ให้ตึงเกินไปหรือหลุดออกจากกัน สิ่งไหนที่ต้องคิดร่วมกัน
หากตัดสินใจไม่ตรงกัน คุณก็ยอมได้ถ้าเขามีเหตุผลที่ดีกว่า
หรือเขาก็ยอมคุณได้ ผลัดกันยอมคุณก็จะไม่รู้สึกตึง

"ความเป็นอิสระ" คงไม่น่ายินดีนัก ถ้าในวันหนึ่งคุณค้นพบว่า มันถูกเจือปนไปด้วย
"ความโดดเดี่ยว" อิสระแต่โดดเดี่ยว มันเป็นอิสระที่แท้จริงก็จริง
เหมือนนกที่มีโอกาสบินแต่กลับขาดที่พักพิงแน่นอน
ไม่รู้ว่าจะต้องบินไปถึงไหน เจออะไรบ้าง แล้วฟ้าข้างหน้าหากมีลมพายุ
จะมีต้นไม้ใหญ่พอหลบฝนได้หรือเปล่า
วันที่คุณต้องบินเดี่ยวๆ เผชิญกับความหนาวเย็น
หรือสายฝนเพียงลำพังจนปีกอ่อนล้า

วันนั้น...คุณจะรู้ว่า ความเป็นอิสระที่คุณโหยหา
คุณกลับพร้อมยอมแลกมันกับเพื่อนร่วมทางเพียงสักคน
ที่จะคอยเป็นคู่คิดให้คุณได้อุ่นใจไปตลอดการเดินทาง อิสระที่คุณหวงแหน
วันนั้น...มันกลับแปรสภาพเป็น "ความอ้างว้าง"

"ความอบอุ่นในหัวใจ" จะทำให้ปีกคุณแข็งแรง และบินไปอย่างมั่นใจมากขึ้น
ต่อให้มีอุปสรรคหรือฝนฟ้าคะนองแค่ไหน คุณก็จะไม่กลัว
เพราะคุณได้รับรู้แล้วว่ายังมีอีกคนที่พร้อมจะเผชิญมันร่วมกับคุณ มันดีกว่าเป็นไหนๆ
ที่เราดูมีความหมายกับใครอีกคน และเขาพร้อมที่จะเดินไปกับเรา
ดีกว่าเราต้องสู้อยู่เพียงลำพังผู้เดียวในโลกใบนี้

ฉันว่าต่อให้ใครๆ อยากมีอิสระแค่ไหน วันหนึ่งทุกคนก็ล้วนอยากมีคู่
เมื่อถึงวันหนึ่งที่คุณพบ...คนที่คุณอยากมีเขาเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณ
ลองคุยกับเขาเรื่องเส้นทางที่คุณและเขาจะเดินร่วมกันดู
ว่าเขายินดีกับมันมากน้อยแค่ไหน หรือเขาอยากเดินไปในทิศทางใด
หาจุดที่ลงตัวที่สุดเพื่อคุณและเขา ต่างฝ่ายต่างก็สนุกกับทางเส้นนั้น
ถ้าตกลงกันได้ มันไม่ได้มีมาง่ายๆ นะ
ในชีวิตหนึ่งอาจจะมาให้คุณเลือกแค่ครั้งเดียว แล้วคุณจะพบว่า...

หลายๆ คนมองว่า ตัวฉันมีชีวิตอิสระ จนดูเหมือนไม่จำเป็นต้องมีใคร
หรือต้องการใครมาเดินด้วย ฉันมีความสุขกับการเดินทาง
ไม่เคยเหงา เพราะเขามักคิดว่า
การที่ฉันมีเพื่อนร่วมทางมันจะทำให้วิถีชีวิตฉันเบี่ยงเบนไป
ฉันต้องไปเดินอีกเส้นทางหนึ่งที่ทำให้ตัวตนที่ฉันเคยเป็นต้องสูญสลาย

แล้วถ้าฉันยังเดินทางอยู่บนเส้นทางเดิม ไปพร้อมๆ กับมีเพื่อนคุยไปด้วยตลอดทางล่ะ
ฉันจะทำได้หรือไม่ คงไม่มีใครปฏิเสธหรอกนะ ถ้าได้คนรู้ใจไปไหนไปด้วยกันกับเรา
ฉันก็เหมือนกัน ถ้ามีก็คงดี แต่ผู้ชายคนไหนจะเสียสละตัวเองมากขนาดนั้น
ยอมสละทิ้งความฝันของเขาเพื่อฉัน

มันดุเป็นความฝันที่เลือนลางเต็มที ฉันคิดว่า ฉันต้องเดินตามลำพังไปอีกนาน
หากฉันเลือกทางของตัวเองไม่ยอมเปลี่ยน และทางของฉัน
ก็ดูไม่ม่น่าเดินสำหรับคนอื่นสักเท่าไหร่ ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่

แต่ ณ วันนี้...ฉันพบคนๆ นั้นแล้ว คนที่เขาก็มีความฝันของเขา
และฉันก็มีความฝันของฉัน แต่ด้วยความบังเอิญหรือปาฏิหาริย์ก็ไม่รู้
ที่เส้นทางของเราเป็นทางคู่ขนาน และสามารถเดินไปถึงจุดหมายเดียวกันได้
ไม่ต้องหวังว่าคนๆ นั้นต้องมาเดินทางเดียวกับเรา
หรือเราต้องเปลี่ยนไปเดินทางเดียวกับเขา
ถ้าเราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพราะการมีเส้นทางที่ขนานกัน
นั่นย่อมทำให้เรายังมองเห็นกันได้ เดินไปด้วยกันได้ ทั้งๆ ที่ต่างก็มีอิสระ

ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่า
"การแต่งงานจะทำให้ฉันมีอิสระมากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ"

อิสระจากข้อจำกัดหลายๆ อย่าง ฉันสามารถเดินได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
เพราะฉันเห็นตลอดเวลาว่ามีคนคอยดูแลฉันอยู่ข้างๆ มันทำให้ฉันกล้ามากขึ้น
ทำอะไรที่อยากทำมากขึ้น เพราะความรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
เมื่อก่อนบางสิ่งบางอย่างไม่สามารถทำได้โดยลำพัง อาจจะเป็นข้อจำกัดทางเพศ
ความห่วงใยจากบุคคลรอบข้าง เพราะฉันยังเป็น "ลูกสาว" ที่พ่อแม่ต้องห่วงและหวงแหน

แต่ตอนนี้...ฉันได้รับความไว้วางใจนั้นแล้ว ฉันมีคนที่จะร่วมผจญภัยในโลกกว้างกับฉัน โดยที่ฉันไม่ต้องรอ...เวลาจากใครอื่นอีก

ทุกอย่างในชีวิตมันเหมือนถูกปลดพันธนาการจากเงื่อนไขของสังคม
(ผู้หญิงตัวคนเดียวกับคำว่า "นางสาว" คุณจะรู้ว่ามีอะไรอีกหลายอย่างที่คุณจะห้าวกับมันไม่ได้)
ฉันหมุนได้รอบตัวเองเร็วขึ้น
อาจจะมีติดขัดบ้างก็ตรงที่ต้องเปลี่ยนมือซ้ายเป็นมือขวาเพื่อจับมือใครอีกคนไว้
อาจจะปล่อยมือบ้างแต่มันก็ไม่ลำบากตรงไหน เพราะถึงยังไงฉันก็เลือกแล้วว่า

"มันดีกว่าปล่อยมือว่างไว้ให้หนามเกี่ยวมือ เพียงเพราะเราแกว่งแขนแรงเกินไป"

คุณรู้มั๊ย!
ว่าทำไมเขาถึงให้เรามีตาไว้สำหรับมองไปข้างหน้าเท่านั้น ?
ว่ากันว่า ก็เพราะมันต้องมีอีกคนหนึ่ง ไว้มองข้างหลังให้เราน่ะสิ



INSURANCETHAI.NET
Line+