วิธีรับมือกับอาการอกหักรักไม่สมหวัง
344

วิธีรับมือกับอาการอกหักรักไม่สมหวัง

วิธีรับมือกับอาการอกหักรักไม่สมหวัง

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/187/46187/images/Happy-Valentine-day-01.jpg">

“ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” คำกล่าวนี้แม้จะดูเหมือนมองโลกในแง่ร้ายเหลือเกิน แต่คงไม่มีใครปฎิเสธได้ ว่าเป็นความจริงแท้แน่นอน สุดแล้วแต่ว่าจะทุกข์น้อย หรือทุกข์มากก็เท่านั้นเอง

หลาย คนคงเคยผ่านประสบการณ์เศร้าโศก เสียใจ ทุกข์เหลือแสน กับการสูญเสียความรัก ไม่ว่าจะด้วยการเลิกกัน การหย่าร้าง หรือความตาย การสูญเสียใครสักคนที่เรารักอย่างจริงใจ ไม่ว่าเราจะเป็นคนตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ หรือการที่เราเป็นฝ่ายถูกบอกเลิกก็ตาม ความเจ็บปวดจากความรักที่ไม่สมหวัง อาจทำให้เราเกิดความเครียดและรู้สึกเจ็บช้ำที่สุดในชีวิต อาการอกหักอย่างเนี่ยะ ทำเอากินไม่ได้ นอนไม่หลับ หมดกำลังใจ ท้อแท้ หดหู่ บางรายถ้ารุนแรงมากก็กลายเป็นโรคซึมเศร้าได้เลย ถ้าถามว่าปัญหาเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มั้ย ก็ต้องแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน บางคนบอกอกหักเป็นเรื่องธรรมดา อกหักจนชินแล้ว  แต่ โดยส่วนตัวแล้ว ปัญหานี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง น้องๆ เพื่อนร่วมงาน และคนใกล้ตัวแล้ว คนที่มีอาการอกหัก หรือเกิดปัญหาครอบครัว น่าเห็นใจมากๆ อาการป่วยทางใจจากปัญหาเหล่านี้ มักส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกาย และจิตใจ  เวลา ตัวเราเผชิญปัญหาก็ต้องบอกตัวเองเสมอว่าต้องเข้มแข็ง ต้องฟื้นให้เร็วที่สุด เพราะเรายังมีภาระความรับผิดชอบอื่นๆอีกมาก พอน้องๆที่ทำงานเกิดปัญหาบ้าง ก็ต้องพยายามให้กำลังใจ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องขอร้องให้เขาพยายามมีสมาธิทำงานด้วย เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อเรื่องงาน

ตอน ที่ตัวเองประสบปัญหาเรื่องนี้เอง ได้มีโอกาสอ่านหนังสือหลายเล่มเลย หนังสือธรรมะเป็นหนังสือหลักที่อ่านเป็นประจำอยู่แล้ว ส่วนการปฏิบัติธรรม นั่งกรรมฐานก็ทำ และต้องยอมรับเลยคะว่าช่วงทุกข์หนักๆ เนี่ยะ เห็นธรรมดีแท้ ช่วงนั้นพยายามใช้หลายวิธีผสมผสานกัน เพื่อช่วยให้ผ่านปัญหาไปได้ เลยหันมาอ่านหนังสือแนวจิตบำบัดด้วย  เพราะอยากรู้ ว่านักจิตวิทยาที่เป็นนักบำบัดและมีความเชี่ยวชาญในการเป็นที่ปรึกษาให้กับ ผู้ที่ประสบปัญหาด้านความสัมพันธ์ จะมีคำแนะนำอย่างไรบ้าง วันนี้ขอถือโอกาส แบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับวิธีการรับมือกับอาการอกหักรักไม่สมหวังที่ได้ อ่านจาก หนังสือ “Secrets of Attraction: The Universal Laws of Love, Sex and Romance” เขียนโดย Sandra Anne Taylor หนังสือเล่มนี้เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2001 มีฉบับแปลเป็นภาษาไทย ชื่อ “กฎแห่งการดึงดูด เพื่อดึงดูดคนรัก” แปลโดย คุณกานต์สิริ โรจนสุวรรณ สำนักพิมพ์ต้นไม้

Sandra Anne Taylor เป็นที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาส่วนตัวมากว่า 25 ปีแล้ว เป็นนักพูดบรรยายเกี่ยวกับกฎของการบันดาลให้เกิดขึ้น (Energetic laws of manifestation) กลไกทางพลังงานของการสำนึกรู้ (Quantum mechanics of consciousness) และการเยียวยาทางจิตวิทยา-วิญญาณ (Psycho-spiritual healing) ชีวิตส่วนตัวเธอเอง ก็เคยล้มเหลวกับชีวิตคู่มาแล้วสองครั้ง แต่ปัจจุบันเธอมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขกับสามีและลูกอีกสองคน

หลังจากอ่านหนังสือ Secrets of Attraction ของ Sandra แล้ว บอกได้เลยคะ ว่าเป็นหนังสือที่ดีมากอีกเล่มหนึ่ง เหมาะกับทุกคนที่ต้องการเข้าใจความหมายของความรักอย่างแท้จริง Sandra มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของพลังงานจักรวาล (Universal energy) และได้พยายามศึกษาว่าปรากฏการณ์เชิงพลังงานของโลกตามควอนตัมฟิสิกส์ (Quantum physics) มีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพของมนุษย์ (human relationship) อย่างไร ซึ่งสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้อาจกล่าวได้ว่า กฎ แห่งจักรวาล ในการดึงดูดความรักแบบที่เราต้องการเข้ามาในชีวิต มีพื้นฐานมาจากการมองเห็นค่าในตัวเองอย่างแท้จริง เป็นการนับถือตัวเราและชีวิตของเราเอง (genuine self-valuing – a reverence for ourselves and our lives)  เมื่อหัวใจของเราเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างแท้จริง ก็จะเกิดความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว ความเห็นอกเห็นใจ ความอ่อนโยนต่อผู้อื่น  จากนั้นจักรวาลก็พร้อมที่จะส่งความรักในแบบเดียวกันกลับมาให้เรา  ยิ่งเราสามารถปลดปล่อยตัวเราให้เป็นอิสระได้มากเท่าไร เราก็จะยิ่งรับรู้ถึงความรักมากมายที่อยู่รอบตัวเราเท่านั้น   

ใน เนื้อหาที่จะพูดถึงสำหรับครั้งนี้ ต้องการเน้นเป็นพิเศษเฉพาะกรณีของผู้ที่ประสบปัญหาความรัก และต้องการเยียวยาด้านจิตใจให้กับตัวเองเพื่อให้สามารถปล่อยวางความสัมพันธ์ ที่ตายไปแล้วได้อย่างแท้จริง หันกลับมาเรียนรู้และเกิดความเข้าใจตัวเองใหม่ เพื่อสร้างความรักและนับถือตัวเองอย่างถูกต้อง และหากเราสามารถเข้าใจกฎต่างๆของจักรวาลก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ ครั้งใหม่ เชื่อว่าจะช่วยให้เรารอดพ้นจากความเจ็บปวดและปัญหาอกหักซ้ำซ้อน 

Sandra ได้แนะนำวิธีการรับมือกับปัญหาอกหักรักไม่สมหวัง เป็นกระบวนขั้นตอนในการเยียวยาตัวเองให้เราพยายามฝึกฝนให้ครบ โดยเรียกว่า ทักษะในการเลิกรา (Separation Skill) มีทั้งหมด 6 ข้อ 

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/927/36927/images/00000000000000007890036.jpg">

ทักษะการเลิกราข้อ 1) ยอมให้ตัวเองได้เศร้าโศก (Allow Yourself to Grieve)

แม้ ว่าความเศร้าโศกจะเป็นเรื่องที่รับมือด้วยความยากลำบากเพียงไร แต่เราต้องไม่ปฏิเสธความรู้สึกนี้ ต้องเผชิญกับมัน การไม่ยอมให้ตัวเองได้เศร้าโศกนับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะการพกพาความเศร้าที่ไม่ได้ระบายออกไปจะก่อให้เกิดความหนักอึ้งต่อ พลังงาน เช่นหากเราสรุปประสบการณ์ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวว่า “ความรักไม่ปลอดภัยเลย” และกลายเป็นความเชื่อ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำต่อไป และเราก็จะดึงดูดแต่ความรักที่ไม่ปลอดภัยเข้ามาในชีวิตอย่างแน่นอน

วิธีเดียวที่จะกำจัดความเจ็บปวดได้ ก็คือ Stay with the pain and see it through - เข้าไปในนั้น ดูมัน รู้สึกถึงมัน ดึงอารมณ์ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นออกมาให้ได้มากที่สุดด้วยการพูดคุย ร้องไห้กับเพื่อนที่ไว้ใจ หรือเขียน ระบายออกมา อย่าเร่งรีบที่จะผ่านพันความเศร้าโศกไป ใช้เวลาจนกว่าเราจะหายดี เมื่อได้ระบายออกมามากพอ เราจะเริ่มรู้สึกว่าปล่อยวางได้มากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เราก็จะเริ่มเห็นถึงความสมดุลในตัวเราเอง  ซึ่ง Sandra เรียกการปลดปล่อยความเศร้าโศกออกมาว่าเป็น กระบวนการชำระล้าง (Cleansing Process) หากเราผ่านกระบวนการนี้ไปได้ เราจะสามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดไปเป็นการเรียนรู้และแม้แต่อำนาจก็ได้ (turn your pain into knowledge and even power)

http://commiechink.com/content/moods/broken_heart.gif">

ทักษะการเลิกราข้อ 2) แสดงความโกรธอย่างเหมาะสม (Express Your Anger Appropriately)

ความ โกรธมักจะมาคู่กับความเศร้าโศก การยุติความสัมพันธ์ใดๆย่อมมีความโกรธเคืองแฝงอยู่ด้วยเสมอ ดังนั้นการอยู่กับความโกรธที่ไม่ได้ระบายออกมา ก็ให้ผลลัพธ์เหมือนการอยู่กับความเศร้าที่ไม่ได้ระบายออกมาเช่นกัน หากความโกรธถูกสะสมในตัวเรามากขึ้น ผลที่ตามมาจะทำให้อารมณ์ ความคิด ทัศนคติของเราเปลี่ยนแปลงไปด้วย

สิ่ง ที่ต้องทำ คือเข้าไปรับรู้ความรู้สึกเหล่านี้ เข้าไปให้ลึกที่สุด ดึงออกมาให้ได้มากที่สุด เราอาจหาสมุดบันทึกสักเล่ม เขียนความรู้สึกของเราลงไป เขียนทุกครั้งที่มีอารมณ์บางอย่างผุดขึ้นมา หรือพูดกับเพื่อนที่สนิท และเชื่อใจได้ (แต่เกรงว่าบ่นให้เพื่อนฟังมากๆ เขาจะเบื่อซะก่อน แนะนำว่าใช้วิธีเขียนก็ดีคะ)  เราต้องจัดการกับความเศร้าโศกและความโกรธเสียก่อน จึงจะสามารถเดินหน้าต่อไปด้วยใจที่เป็นอิสระโดยแท้จริง  สิ่ง ที่ต้องแนะนำ คือว่า การแสดงความโกรธออกมา ไม่ได้หมายถึง การพยายามแก้แค้น เพราะการแก้แค้นรังแต่จะทำลายเกียรติ และศักดิ์ศรีของตัวเราเอง

พอเขียนเรื่องราวสำหรับคนอกหัก ช้ำรักไปเมื่อครั้งที่แล้ว ปรากฏว่าน้องที่ทำงานหลายคนงง!! มีคำถามว่า เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความรักแท้ๆ ทำไมพี่ไม่เขียนอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม ทำให้โลกสดใสหละคะ  มี คำตอบคะน้องๆ ก็เดือนกุมภาพันธ์นี่แหละคะ โดยเฉพาะวันวาเลนไทน์ คนที่กำลังอยู่ในความรักนั้นคงรู้สึกดี วางแผนชวนคนรักไปทานอาหารเย็นใต้แสงเทียน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก แต่ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากให้ความสำคัญกับวันวาเลนไทน์เลย บางคนพยายามจะลืมอดีตด้วยซ้ำ หันไปทางไหนก็เจอแต่คู่รักที่กำลังมีความสุข อันนี้แหละเศร้านัก พี่ก็เลยอยากให้กำลังใจคนที่ผิดหวังจากความรัก  อยากให้หันกลับมาสร้างรักแท้ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เราก็จะได้มีความสุขกับตัวเองได้ในวันแห่งความรักเช่นกันคะ

ก่อนจะเข้าเรื่องทักษะการเลิกรา  (Separation Skill) ของ Sandra Anne Taylor  อยากขออนุญาตให้คำแนะนำบางอย่างกับผู้ประสบปัญหาผิดหวังความรักขั้นรุนแรงจนถึงกลับเป็นโรคซึมเศร้า (Depression) บังเอิญ ว่าเมื่อวานนี้เอง เพื่อนที่สนิทมาก โทรมาปรึกษาปัญหาของพี่สาวที่เราเองก็รู้จักดี พี่สาวเพื่อนเคยอกหักสมัยเรียนที่ต่างประเทศ จนไม่สามารถเรียนต่อได้เลย พ่อแม่ต้องไปรับกลับ เวลาผ่านมามากกว่า 10 ปีแล้ว พี่สาวเพื่อนคนนี้ก็ยังฝังใจกับอดีต และส่วนใหญ่ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครนัก จนเมื่อเร็วๆนี้ มีอาการของโรคซึมเศร้าค่อนข้างรุนแรงมากขึ้น และตอนนี้ก็เริ่มเข้ารับการบำบัดแล้ว ฟังแล้วรู้สึกเห็นใจพี่สาวเพื่อน และครอบครัว รวมทั้งเพื่อนเราด้วย ได้ให้คำแนะนำเพื่อนไปแล้วคะว่า หากมีอาการทางจิตรุนแรงแล้ว จำเป็นต้องเข้ารับการบำบัดอย่างจริงจังจากจิตแพทย์ก่อน มีโอกาสหายได้แน่นอน เพราะเคยอ่านหนังสือเจอหลายเคสแล้วที่เป็นอย่างนี้ แต่ตอนนี้จะเข้าวัดฟังธรรม คงยังทำไม่ได้ เพราะจิตยังไม่สมดุลพอ ฟังธรรมไปก็ไม่รับอยู่ดี  เฮ้อ..เศร้าจัง ขอเป็นกำลังใจให้หายเร็วๆ นะคะ  เห็น มั้ยคะว่า ปัญหาเรื่องนี้ไม่เล็กเลย ถ้าไม่มีวิธีรับมือที่ดีพอ เราอาจใช้ชีวิตที่เหลือไปอย่างไร้ชีวิตชีวา และไม่คุ้มค่ากับที่ได้เกิดมาเลย น่าเสียดายมาก  เอาหละ เรามาต่อเรื่องทักษะการเลิกราอีก 4 ข้อที่เหลือกันนะคะ

http://www.diarythai.com/v2/poem/images/20081218_take_my_broken_heart.jpg">

ทักษะการเลิกราข้อ 3) มองตามความเป็นจริง อย่าจินตนาการความสูญเสียเกินจริง

(Be Realistic: Do not fantasize Your Loss)

ปฏิกิริยา ทั่วไปสำหรับคนที่อยู่ในกระบวนการของการเลิกรา มักจะเลือกเฟ้นจดจำเฉพาะความทรงจำดีๆ และลืมความทรงจำแย่ๆ แม้แต่คนที่โดนทำร้ายอย่างรุนแรงก็ยังเพ่งมองไปที่ความทรงจำดีๆ และลดความทรงจำแย่ๆ ทำให้การจินตนาการความสูญเสียนี้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยเฉพาะคนที่พยายามหาความรักมาชดเชยสิ่งที่ตัวเองรู้สึกว่าขาดหายไป เรามักจะเสียอกเสียใจกับสิ่งที่เสียไป เช่นความสนุกสนาน ความตื่นเต้น ความสัมพันธ์อันดี แต่หากพิจารณาดีๆแล้วอาจจะพบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาสิ่งที่ขาดหายไปของความ สัมพันธ์ คือความรักและความเคารพกันอย่างแท้จริง (Real love and respect)

การ จินตนาการความสูญเสียเกินจริงจะยืดเยื้อกระบวนการของความเศร้าโศก และทำให้ความรู้สึกสิ้นหวังใหญ่โตเกินจริง ทำให้เราโหยหาความสัมพันธ์ที่สูญสิ้นไปโดยไม่สนว่าสภาพความจริงของความ สัมพันธ์นั้นเป็นอย่างไร ดัง นั้นเมื่อไรที่เรารู้ตัวว่ากำลังคิดถึงช่วงเวลาอันแสนหวานที่ไม่อาจย้อนคืน มาได้ ขอให้หยุดซะ แล้วพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดตามจริง อาจใช้การเขียนบันทึกเข้ามาช่วยก็ดี เราต้องให้ตัวเองได้เศร้าโศกเสียดายกับสิ่งดีๆ พอๆกับที่ต้องรับรู้ถึงสิ่งที่แย่ด้วย – Allow yourself to grieve the good as well as acknowledge the bad

ประสบการณ์ ความเศร้า ความเจ็บปวดเหล่านี้ สามารถให้บทเรียนที่มีค่ากับตัวเราได้มากมาย ทำให้เรารู้จักตัวเราเองมากขึ้น ให้ความสำคัญกับตัวเรามากขึ้น รู้จักแยกแยะเกี่ยวกับการตัดสินใจเรื่องความสัมพันธ์ได้ดีขึ้น ถือได้ว่าเป็นของขวัญที่ได้จากความเศร้าโศก (the Gift in the Grief) เลยทีเดียว

(ข้อ นี้สำคัญคะ หลายคนทำอย่างไรก็ไม่สามารถเดินออกจากความสัมพันธ์ได้ ทั้งที่รู้ดีว่าการอยู่ด้วยกันต่อไปไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ที่แย่ไปกว่านั้น บางคนถูกทำร้ายหรือมีการใช้ความรุนแรงต่างๆ ต้องแยกกันอยู่สักพัก พออีกฝ่ายตามง้อ ก็กลับไปอีกเป็น ปัญหาอย่างนี้มีอยู่เยอะ ดังนั้นการที่จะสามารถยุติความสัมพันธ์ที่เหมือนวนอยู่ในอ่างเช่นนี้ได้ สำเร็จ จึงต้องใช้ทั้งความเข้มแข็งและความเด็ดขาดอย่างมาก)

ทักษะการเลิกราข้อ 4) เมื่อมันจบลงแล้ว ก็จงปล่อยมันไป (When It’s Over, Let it Go!)

สิ่งหนึ่งที่ยากที่สุดของการสิ้นสุดความสัมพันธ์ ก็คือ การกล้าที่จะปล่อยมันไปจริงๆ  บางครั้งคนรักของเราได้เดินจากเราไปแล้ว แต่เราก็ยังยึดติดกับความสัมพันธ์แบบเดิมที่เกิดเพราะความเคยชินล้วนๆ การยึดติดทางอารมณ์ ทั้งๆที่อดีตคนรักเราได้เดินจากไปแล้ว นับว่าเป็นการฆ่าตัวตายทางพลังงานชัดๆ (energetic suicide) เพราะ มันทำให้พลังงานของเรากระจุกเป็นก้อน และอย่างอื่นในชีวิตเราก็จะโดนห่ออยู่ในก้อนพลังงานที่กระจุกตัวนี้ด้วย การไม่ยอมปล่อยวางนั้นแหกกฏแห่งจักรวาลทั้งหมด เราจะไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับ “กฎแห่งการเป็นแม่เหล็กดึงดูด” (Law of Magnetism) ได้เลย ถ้ายังโหยหาใครบางคนที่ไม่ได้มีความรู้สึกแบบเดียวกันต่อไป

การ ที่เราเกาะเกี่ยวอยู่กับความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้วจะทำให้เราหลุดจากความ สมดุลที่มีต่อตัวเองไป พลังงานของเราจะพรั่งพรูไปยังที่ซึ่งมันไม่อาจจะได้รับการตอบแทน ทิ้งให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว แล้วความโดดเดี่ยวทางอารมณ์ก็จะทำให้ตัวเราหลุดออกจากความกลมกลืนกับจักรวาล เราจะพบว่าตัวเองหลุดจังหวะอยู่เสมอ เพราะเราไม่ได้เพ่งจิตไปยังชีวิตของตัวเอง แต่กลับเพ่งไปยังสิ่งที่ไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา

ดัง นั้น เมื่อความสัมพันธ์จบลงแล้ว ก็จงปล่อยมันอย่าโทษคนรักของเรา หรือซ้ำเติมตัวเอง เลิกทบทวนและคิดถึงรายละเอียดของความสัมพันธ์ที่จบไปแล้ว พยายามฝึกฝนทักษะการเลิกราให้ครบทุกอย่างค่อยๆปล่อยวางมันไปเรื่อยๆ เพราะการปล่อยวางต้องใช้เวลา – Letting go take times; and practice makes progress ขอให้ตั้งเจตนารมณ์ที่จะเดินหน้าต่อไป แล้วรวบรวมความกล้าหาญทำให้มันเป็นจริงให้ได้

http://t2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcT7PqcPhu8FlormVR8WI7UL-5dQrvWxK_ZD8VLgBfRzF0gQhCpm">

ทักษะการเลิกราข้อ 5) เข้าใจศิลปะการอยู่ด้วยตัวเองตามลำพังให้ท่องแท้ (Master the Art of Being Alone)

การที่เราสามารถใช้ชีวิตตามลำพังได้อย่างสงบสุขได้มากเท่าไร พลังงานที่ส่งออกจากตัวเราออกไปก็จะเป็นแบบที่ดึงดูดความสงบและความสุขให้ เข้ามาในชีวิตมากเท่านั้น...รวมทั้งความรักด้วย แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่สามารถมีความสุขได้เลยถ้าต้องอยู่คนเดียวตามลำพัง งั้นก็รับประกันได้เลยว่าเราจะอยู่อย่างไร้สุข และเดียวดาย – If you feel you can’t be happy while alone, it practically ensures that you will stay both unhappy and alone  ความสบายใจกับการอยู่ด้วยตามลำพัง แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางอารมณ์ของตัวเราเองและการเป็นผู้กำหนดคำนิยามให้กับตัวเอง  รวมถึงการที่เราสามารถมีความสุขได้ด้วยตัวเราเอง

เราไม่ควรมองว่าการอยู่ตามลำพังช่างเป็นความรู้สึกที่โดดเดี่ยวเดียวดาย ถ้าเรารู้สึกว่าชีวิตมันว่างเปล่า ตัวเรานั่นแหละที่ต้องเติมเต็มมัน ชีวิตที่เต็มเปี่ยมคือชีวิตที่มีจุดมุ่งเหมายของตัวเอง และเราต้องเป็นผู้สร้างชีวิตที่เต็มเปี่ยมขึ้นมาให้ได้ด้วยตัวเอง  เรา อาจสร้างแนวคิดใหม่ว่า การอยู่ตามลำพังเป็นการผจญภัยที่แสนวิเศษ เป็นช่วงเวลาที่มีค่ามากที่เราต้องใช้มันอย่างสร้างสรรค์ รื่นรมย์ วางแผนชีวิตให้ตัวเราเอง เพื่อตัวเอง หันมาหาวิถีชีวิตแบบใหม่การดูแลตัวเอง และทำให้ชีวิตกลับมากระชุ่มกระช่วยอีกครั้ง หาก เราสามารถทำความเข้าใจและรู้จักตัวเองได้อย่างท่องแท้เมื่อไร เราจะเกิดความเชี่ยวชาญในเรื่องความสัมพันธ์ทั้งต่อตัวเราเอง และผู้อื่น เราจะไปอยู่ในจุดที่สามารถเป็นเอกเทศและไว้ใจในตัวเองได้อย่างแท้จริง

ขอให้เราสามารถบอกกับตัวเองให้ได้ว่า “ถ้าฉันต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ตามลำพัง มันก็ไม่เป็นไร ฉันจะทำมันให้เป็นชีวิตที่มีความสุขที่สุด คุ้มค่าที่สุดเท่าที่เคยมีมา - If I have to spend the rest of my life alone, that’s okay. I’m going to make it the happiest, most rewarding life ever” ซึ่งนี่แหละคือสุดยอดของการปล่อยวางต่อจักรวาล

http://widget.sanook.com/static_content/full/diy_1/2193/56193/59552aca6e3acacc794ea8e8215b7e5b_1213532728.gif">

ทักษะการเลิกราข้อ 6) เลือกที่จะสร้างชีวิตที่มีความสุข (Choose to Create a Life of Happiness)

การ ทำให้ชีวิตมีความสุข มีอยู่สองวิธี บางคนก็ไขว่คว้าหาความสุข บางคนก็สร้างมันขึ้นมาเอง กลุ่มคนประเภทแรกจะมีมุมมองพื้นฐานเกี่ยวกับความสุขของพวกเขาเป็นความสุขแบบ ภายนอก เป็นความสุขที่มาจากคนอื่น หรือไม่ก็มาจากการบรรลุเป้าหมายภายนอก เช่นประสบความสำเร็จด้านการเงิน การงาน  ส่วนกลุ่มคนประเภทหลังที่สร้างความสุขขึ้นมาเอง จะมองว่าความสุขเป็นสภาวะทางจิตใจมากกว่า เป็นแก่นแท้ของชีวิต ที่ไม่ได้มาจากภายนอก  ดัง นั้นเมื่อความสัมพันธ์สิ้นสุดลง หากเราตั้งใจที่จะสร้างความสุขขึ้นมาใหม่ด้วยตัวเอง เราจะสามารถก้าวออกมาได้ง่ายกว่า แต่ถ้าเราพยายามไล่ตามความสุข เราก็จะพบกับความลำบากในการรับมือกับความเศร้าโศก เราจะหมกมุ่นอยู่กับความสุขที่สูญเสียไปแล้วอยู่ตลอด ซึ่งจะทำให้เราเสียสมดุลของตัวเราไป เพราะเราเติมพลังงานของเราไปกับการระลึกถึงอดีต โหยหาอนาคต แทนที่จะอยู่กับความสงบสุขในปัจจุบัน – filling energy with past-remembering and future- yearning, rather than present-peacefulness

ถ้าเราอยากสร้างความสุขขึ้นมาเอง สิ่งแรกที่ต้องทำคือเลิกสร้างความทุกข์ระทมให้ตัวเอง พยายามหันมาสร้างทัศนคติแบบร่าเริง มุ่งมั่นที่จะผ่อนคลายสบายใจ เรียนรู้ที่จะสนุกกับชีวิต และสร้างความสุขที่แท้จริงให้กับตัวเอง  ขอให้จำไว้ว่า เราต้องเป็นผู้สร้างความสุขให้กับตัวเอง เราต้องหยิบยื่นสิ่งที่เรามองหาจากคนอื่นให้กับตัวเอง ลองถามตัวเองว่าอะไรที่ทำให้เรามีความสุข แล้วก็รับผิดชอบในการสร้างมันขึ้นมาในชีวิตเรา – Ask yourself what it is that makes you happy, and then take responsibility for creating that in your life  ดังนั้นถ้าเราต้องการกำลังใจ ก็จงให้กำลังใจกับตัวเอง

กระบวนการในการใช้ทักษะการเลิกราทั้ง 6 ข้อ นี้ ต้องใช้เวลา และมีเพียงตัวเราเท่านั้นที่กำหนดได้ว่าต้องการเวลามากน้อยเพียงไร ให้ใช้เวลาให้มากที่สุดเท่าที่เราต้องการ แต่ขอให้แน่ใจว่าเราได้ทำตามกระบวนการนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเรารู้ว่ามันจบสิ้นลงจริงๆ และเป็นอิสระอย่างแท้จริง

ก่อนจบ entry นี้ ขออวยพรให้ผู้อ่านทุกคน มีหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพตัวเองอย่างแท้จริง เพื่อที่เราจะสามารถมอบความรักอย่างจริงใจ เป็นความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นความรักที่เห็นอกเห็นใจ และมีความอ่อนโยนต่อคนที่เรารัก และขอให้ทุกท่านมีความสุขในเดือนแห่งความรักคะ 

‘Learn to stand alone, secure in your own virtues and self-worth’

จงเรียนรู้ที่จะยืนด้วยตัวเองตามลำพัง ยึดมั่นในศีลธรรมอันดีงามและความมีค่าในตัวเอง

http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=520059&stc=1&d=1235204510">



INSURANCETHAI.NET
Line+