Second Life ชีวิตที่สอง
348

Second Life ชีวิตที่สอง

Second Life

เรื่องเล่าประสบการณ์ของคนตัวเล็กๆคนหนึ่งในโลกใบใหญ่ที่ชื่อว่า Second Life ในแง่ของการเริ่มต้น, ดำเนินธุรกิจรายย่อย, การทำงาน, และการใช้ชีวิต

หลาย คนถามผมเสมอว่าผมเริ่มต้นยังไง ทำอย่างไรถึงมีรายได้จริงจากโลกเสมือน ผมไม่สามารถสอนหรือชี้นำใครได้ เพราะทุกคนต่างมีทางเดินชีวิตของตนเอง แต่ผมยินดีที่จะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เผื่อว่าจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งในประสบการณ์ของผม สามารถชี้นำคุณให้ก้าวไปในทางที่คุณหวังไว้ เนื้อหาในข้อความนี้เป็นประสบการณ์จริงส่วนบุคคล อาจมีถูกหรือผิด เหมาะสมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับวิจารณญาณส่วนบุคคลครับ

ก้าวแรก

เริ่ม หัดท่องโลก Second Life อยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือน ได้เห็นโลกกว้าง, ได้พบเพื่อนใหม่, ได้เรียนรู้ธุรกิจจากเพื่อนชาวต่างชาติ ทำให้ผมได้โอกาสทดลองสัมผัสกับธุรกิจค้าขายสินค้าที่ไม่มีอยู่จริงพวกนี้ และยังโชคดีที่บังเอิญได้พบกับเพื่อนชาวต่างชาติที่นิสัยดีมีเมตตรา เขาได้มอบที่ดินเล็กๆให้ได้วิ่งเล่น และอนุญาติให้ได้อาศัยอยู่ในที่ดินของเขา เสมือนว่าเป็นบ้านของตัวเราเอง เมื่อเพื่อนคนนี้ไปที่ไหนก็มักจะชวนผมไปด้วย ทำให้ได้มีโอกาสพบเจอคนที่มีฝีมือมากมาย ได้เห็นวิธีการทำงาน และสัมผัสกับรายได้ก้อนแรกที่ไม่เคยคิดว่าจะสามารถหาได้ให้โลกที่ไม่มีจริง แห่งนี้ ด้วยความอยากมี, อยากได้สินค้าที่เขาขายกัน แต่ว่าผมไม่มีเงินติดตัวเลย ทำให้ต้องลงมือสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด เพราะผมเองก็พอจะมีความรู้ด้านการออกแบบและการทำงานพวกสามมิติมาบ้างเล็ก น้อย

สมัยเด็กๆเคยใฝ่ฝันอยากจะเป็นหุ่นยนต์สังหาร T-800 แบบในเรื่องคนเหล็ก (Terminator) และมักจะเผลอทำท่าทางการเคลื่อนไหวแบบชักกระตุก เหมือนว่าตัวเองเป็นหุ่น T-800 ซะอย่างงั้น ทำให้ผมขอประเดิมชิ้นแรกด้วยการสร้างความฝันในวัยเด็กให้กลายเป็นความจริง ขึ้นมา.. หลังจากใช้เวลาเรียนรู้วิธีสร้าง primitive อยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ทั้งศึกษาเอง และเพื่อนชาวต่างชาติแนะนำชี้แนะ ทำให้ความฝันที่จะได้เป็นหุ่นคนเหล็ก T-800 กลายเป็นจริงขึ้นมา โดยใช้เวลาสร้างจริงอยู่ประมาณ 3-4 วัน (ใช้เวลาตอนค่ำหลังจากกลับจากมหาวิทยาลัย)

ครั้งแรกไม่ได้ตั้งใจจะ ขาย เพราะตัวเองไม่รู้ว่าควรขายเท่าไร ขายที่ไหน หรือขายยังไง ผมจึงจำแลงกายกลายเป็นคนเหล็ก T-800 เดินไปมาทั่วเมือง และพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาสอบถามว่าเอาหุ่นยนต์ตัวนี้มาจากไหน พวกเขาต้องการซื้อบ้าง ซึ่งเราก็ตอบไปว่าทำเอง และไม่รู้ว่าจะขายราคาเท่าไรดี คนเหล่านั้นจึงแนะนำให้ขายได้ราคาไม่ต่ำกว่า 2,000 L$ เนื่องจากในตอนนั้น (ปี2006) ยังไม่มีใครสร้างหุ่นยนต์แบบนี้ จึงสามารถขายราคาสูงได้.. ด้วยความไม่แน่ใจ และดีใจที่มีคนติชมผลงาน ทำให้ผมไปสอบถามเพื่อนๆเรื่องการค้าขาย โดยผมตั้งใจว่าจะขายด้วยราคาประมาณ 1,000 L$ ซึ่งผมคิดว่าแพงแล้วกับสินค้าที่ไม่มีจริง จับต้องไม่ได้ แต่เพื่อนทุกคนให้ความเห็นว่าไม่ควรต่ำกว่า 2,000 ผมจึงตัดสินใจขายที่ 1,990L$ โดยเพื่อนชาวอเมริกันใจดี อนุญาติให้วางสินค้าขายได้ในร้านของเขา โดยจัดมุมให้มุมหนึ่งและอนุญาติให้วางสินค้าได้จำนวน 15 prims (วัตถุ 15 ชิ้น)


จากนั้นผมจะไปแอบอยู่ในมุมมืดๆและคอยมองดูลูกค้าของเพื่อนจับจ่ายสินค้าใน ร้าน รอจนเขาซื้อสินค้าในร้านเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินผ่านมาที่มุมของคนเหล็ก และผมก็จะลุ้นอย่างตื่นเต้น ว่าเขาจะซื้อ..หรือไม่ซื้อ
ไม่น่าเชื่อที่วันแรกของการขาย สามารถขายได้ถึง 5 ชิ้น ทำให้ผมดีใจมาก (ดีใจทุกครั้งที่มีคนจ่ายเงิน และบางครั้งก็ยกมือไหว้ท่วมหัวและพูดออกมาดังๆว่า ขอบคุณคร๊าบ!)

เมื่อมีรายได้จำนวนหนึ่ง ทำให้ผมตัดสินใจสมัครสมาชิก Premium Member เพื่อจะได้มีที่ดินเล็กๆ 512 ตร.ม ไว้เปิดร้านของตัวเอง โดยซื้อที่ดินข้างๆร้านของเพื่อนนั่นเอง เริ่มจาก 512 ตร.ม และค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นทุกๆเดือน และทะยอยทำสินค้าใหม่ตามออกมา โดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย เพียงแต่คิดว่าอยากมีอะไรหรืออยากจะเป็นอะไร


ตัวอย่างสินค้าของร้าน * SENSE *

สินค้าที่ทำออกมาเป็นชิ้นต่อไปคือ พวกมนุษย์หมาป่า, และชุดเกาะจากอนาคต โดยทุกชิ้นจะเกิดจากแรงบันดาลใจ และสร้างใหม่ขึ้นมาเองด้วยการออกแบบของตนเองล้วนๆ เพราะผมไม่ต้องการเลียนแบบใครมาทั้งหมด อย่างเช่นคนเหล็ก ที่ผมจำมีภาพของคนเหล็กอยู่ในใจของตัวเอง โดยหากเทียบกับต้นตำหรับในหนังแล้ว จะเห็นว่าแทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยแม้แต่น้อย นั่นคือเราใช้แรงบันดาลใจจากสิ่งต่างๆ มาสร้างใหม่ให้เป็นรูปแบบของเราเอง จะได้ไม่มีใครมาด่าว่า ว่าเลียนแบบหรือทำตามคนนั้นคนนี้ ซึ่งคงจะทำให้อับอายขายหน้าได้ไม่น้อย

ในช่วงปลายปี 2006 ผมได้สร้างผลงานออกมาจำนวนหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำพวกอวาตาร์และสิ่งก่อสร้าง แต่ก็คัดเลือกมาขายเฉพาะบางชิ้นที่เห็นว่ามีคนสนใจ แต่ก็มีผลงานจำนวนไม่น้อยที่สร้างและเก็บไว้ ไม่ได้นำออกมาขาย นั่นคงเพราะว่า

ผมมองว่าการสร้างของพวกนี้คือการเรียนรู้และพัฒนา ฝีมือแบบหนึ่ง การขาย คือการทดลองว่าคนทั่วไปจะสนใจรูปแบบการนำเสนอแบบนั้นๆหรือไม่ ซึ่งจะดูได้จากยอดขาย ว่าชิ้นไหนขายดี และชิ้นไหนขายไม่ดี..

เมื่อ ใดที่เราทำงานได้มีคุณภาพแล้ว ก็จะต้องมีคนสนใจ นั่นคือทางหนึ่งซึ่งโอกาสจะเข้ามาหาเราเอง คือวันดีคืนดีก็จะมีตัวแทนจากบริษัทต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ มาติดต่อขอจ้างงานให้ไปช่วยสร้างงานต่างๆให้แก่องค์กร บริษัท หรือแม้แต่ custom work ของลูกค้ารายย่อย จากประสบการณ์ที่เคยพบก็จะมีพวกบริษัทที่ทำโฆษณาของภาพยนต์ เช่น Transformer, 300, Diehard 4, Beowulf, CSI New York และอื่นๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบริษัทระดับโลก หรือ Hollywood ทั้งนั้น ซึ่งเขามักจะจ้างงานโดยค่าแรงจะให้เป็นชั่วโมง นี่คือตัวอย่างหนึ่งของโอกาสที่ผมเคยได้สัมผัสมาแล้วในโลกที่ใครก็คิดว่า เป็นเรื่องไร้สาระ

เปลี่ยนความคิด ชีวิตเปลี่ยน

เมื่อ ค้าขายไปได้ซักระยะ ทำให้เห็นว่า Second Life สามารถเป็นได้มากกว่าโปรแกรม chat สามมิติ หรือเกมส์ออนไลน์อย่างที่ใครๆเขาเรียกกัน สิ่งที่มีค่ากว่าเงินหรือรายได้ นั่นคือ "โอกาส" โอกาสที่ผมได้พบเจอคนต่างๆที่มีฝีมือ มีชื่อเสียง และได้มองเห็นโลกอีกด้านหนึ่ง ผมได้เรียนรู้ประสบการณ์จริงที่หาไม่ได้จากห้องเรียน และได้ทดลองทำสิ่งที่หลายคนคิดว่าไร้สาระ แต่ในความคิดของผม คือผมได้เปรียบที่ได้เรียนรู้สิ่งนี้ก่อน เหมือนที่ผมพูดเสมอว่า

"นกที่ตื่นก่อนย่อมได้กินหนอนตัวใหญ่กว่าเสมอ"

ตั้งแต่ ได้มีโอกาสทดลองทำธุรกิจเล็กๆใน Second Life ทำให้ผมเกิดศรัทธา และยอมรับในศักยภาพของเทคโนโลยีใหม่นี้ ทำให้ได้เปลี่ยนความคิด จากที่เคยคิดว่า 'หลังจากเรียนจบจะได้ไปสมัครงาน ทำงานซัก 2-3 ปี เพื่อเก็บเงินเรียนต่อให้สูงขึ้น และจะได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ มีเงินเดือนซัก 2-3 หมืนบาทก็โอเคแล้ว' แต่ Second Life กลับมาเปลี่ยนแปลงแนวคิดผม และให้รายได้ซึ่งผมขอเรียกมันว่า "โอกาส" ก้อนใหญ่ ให้นำมาผลักดันชีวิตตัวเองให้ไปได้สูงขึ้นกว่าเดิม ทุกวันนี้ผมตัดสินใจมองข้ามชอต ยกเลิกแผนการเป็นมนุษย์เงินเดือน และเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น แถมยังได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก นั่นคือการปลดปล่อยจินตนาการให้โลดแล่นไป ไม่ต้องทำตามหรือเดินตามรอยเท้าของใคร ได้เป็นนายของตัวเอง ถึงมันจะยาก แต่คิดว่าคนเราจะมีความสุขหากได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก จริงไหมครับ?

ก้าวต่อไป
หลัง จากออกแบบและสร้างสินค้าเพื่อนำมาขายได้จำนวนหนึ่ง ผมจึงเริ่มมองว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร หากเรามุ่งมั่นที่จะเอาดีด้านนี้เพียงอย่างเดียว ตอนนั้นอยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเรียนในระดับปริญญาตรี และกำลังทำวิทยานิพนธในเทอมสุดท้าย (2007) ทำให้ผมต้องหยุดคิดและไตร่ตรองใหม่อีกครั้งถึงเส้นทางในอนาคต เมื่อเราไม่สามารถตั้งความหวังทั้งหมดของชีวิตไว้กับสิ่งที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ผมจึงต้องมองให้ลึกกว่าการเป็นเพียงพ่อค้าขายสินค้าใน Second Life และมองหาเส้นทางที่น่าจะมั่นคงกว่า ผมคิดว่าเราน่าจะเพิ่มเติมความรู้ เพิ่มระดับการศึกษาให้มากขึ้น เพราะการศึกษานั้นอยู่คู่กับโลกนี้มายาวนานและเรียนรู้ได้อย่างไม่มีวันจบ แผนการพัฒนาสินค้าส่วนตัว หรือร้าน * SENSE * จึงถูกหยุดลงตั้งแต่ตอนนั้น เพื่อใช้เวลาให้เต็มที่กับการทำวิทยานิพนธ์และเรียนต่อระดับปริญญาโท

แต่ ก็ใช่ว่าผมจะไม่กลับมาทำงานแบบเดิมใน Second Life แต่ในตอนนี้ผมก็กำลังพยามศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีโลกเสมือนนี้ และก็หาเวลาเรียนรู้เทคนิคใหม่ๆ ทั้งการพัฒนาฝีมือ และเทคนิคการตลาด โดยหวังว่าวันหนึ่งผมจะกลับมายังจุดที่ผมเคยเริ่มต้นเอาไว้อีกครั้ง เพราะผมไม่สามารถลืมว่าตนเองเป็นใคร, ทำอะไร, และมาจากไหน

ผมคือ Hydrogen Excelsior ผู้หยัดยืนขึ้นจากการสร้างความฝันเล็กๆของตนเองให้กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้น มา ท่ามกลางเสียงวิพากวิจารย์ต่างๆนาๆ ทั้งจากคนรอบข้างและแม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักผมมาก่อน ซึ่งแต่ก่อนจะมีแต่คนอคติกับคำว่า "ชีวิตที่สอง" บ้างก็ว่าผมทำเรื่องไร้สาระ บ้างก็ว่าผมปั้นน้ำเป็นตัว แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีสาระขึ้นมาบ้างแล้วล่ะมั้ง? และเหนือสิ่งอื่นใด ผมมีศรัทธากับสิ่งที่ผมทำ เพราะชีวิตที่สองของผมไม่ได้หมายถึงการหลีกหนีชีวิตจริง แต่มันช่วยเพิ่มเติมโอกาสให้แก่ชีวิตของผมเป็นสองเท่า ดังนั้นไม่ว่าใจว่าอย่างไร ขอแค่ใจเรามีศรัทธาในสิ่งที่เราทำ บวกกับความพยายามและตั้งใจ นั่นน่าจะเพียงพอต่อการก้าวไปสู่ความสำเร็จที่เราทุกคนหวังเอาไว้แน่นอน

คำแนะนำเพิ่มเติม

หลาย คนเข้ามาใน Second Life เพื่อแสวงหา "รายได้" โดยหลายคนเริ่มต้นด้วยคำว่า "หาเงินจากไหน" ทั้งที่ยังไม่ได้เรียนรู้ว่า Second Life คืออะไร มีอะไรให้ทำได้บ้าง หรือทำไม่ได้บ้าง จากประสบการณ์ของผม คนเหล่านี้ไม่มีใครประสบความสำเร็จแม้แต่คนเดียว สิ่งที่ควรทำก่อนสิ่งใดคือ "เรียนรู้" เมื่อคุณสามารถเข้าใจว่า Second Life คืออะไร ทำอะไรได้-ไม่ได้ หรือ ควรทำอะไร-ไม่ควรทำอะไร คุณจะเกิดศรัทธาในคำว่าโลกเสมือนจริง คุณจะเลิกมองว่ามันคือเกมส์ หรือสิ่งไร้สาระ

เมื่อนั้นคุณจะเริ่มมอง Second Life อย่างเข้าใจว่ามันไม่ได้ต่างจากชีวิตจริงมากนัก
ยกตัวอย่างเช่น การจะมีเงินนั้นก็ต้องมีงาน - การจะมีงานทำนั้นต้องมีความรู้ความสามารถ - และการจะมีความรู้และความสามารถ ก็จะต้องฝึกฝน และเรียนรู้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลา ไม่มีใครที่เข้ามาใน Second Life และประสบความสำเร็จในเวลาข้ามคืนครับ อย่างน้อยๆ ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 2-3 เดือนในการเรียนรู้ และ 6 เดือนในการสะสมประสบการณ์ จึงจะสามารถมองได้ว่าคนคนนั้นประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่

ดังนั้นคน ที่คิดว่าจะเข้ามาหาเงินใน Second Life ขอให้ลองเปลี่ยนแนวความคิด ย้อนถามตัวเองว่าคุณมองข้ามชอตกันไปหรือเปล่า? คุณควรเข้าใจและศรัทธาในสิ่งที่คุณกำลังทำเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยต่อยอดด้านธุรกิจที่คุณถนัดครับ

"นกที่ตื่นก่อนย่อมได้กินหนอนตัวใหญ่กว่าเสมอ"
ขอขยายความวลีนี้ที่ผมพูดเป็นประจำ

นกที่ตื่นก่อน - หมายถึงการที่เราได้ลงมือทำอะไรก่อนคนอื่น
ย่อมได้กินหนอนตัวใหญ่กว่าเสมอ - หมายถึงผู้ที่เริ่มก่อนมักจะได้ผลลัพท์หรือผลกำไรที่ดีกว่า หรือมากกว่าเสมอ

นั่น หมายความว่าหากเราทำอะไรที่เป็นสิ่งใหม่ ยังไม่มีใครทำ ยังไม่มีใครรู้ เราก็จะเป็นเหมือนกับผู้ครองตลาดของงานด้านนั้นๆ แต่เมื่อมีคนเริ่มแล้วก็มักจะมีคนทำตามแน่นอน ถ้าคนที่ทำตามสามารถทำได้ดีเขาจะมาแย่งรายได้ไปส่วนหนึ่งแน่นอน แต่ถ้าคนที่ทำตามทำได้ไม่ดี ทำไม่ได้อย่างที่ผู้ครองตลาดทำไว้ ก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เหมือนกับนกที่ตื่นทีหลัง ไม่ว่าจะพยามยังไงก็หาหนอนตัวใหญ่มากินไม่ได้แล้ว เพราะหนอนตัวใหญ่ๆนั้นถูกนกตื่นก่อนกินไปหมดแล้ว แต่ก็ใช่ว่านกที่ตื่นทีหลังจะกินไม่อิ่ม แต่ก็ต้องกินหนอนตัวเล็กจำนวนหลายตัวหน่อย ถึงจะอิ่มเท่ากับหนอนตัวใหญ่ตัวเดียว..

หากใครคิดจะทำตามคนอื่น ให้ยอมรับไว้ก่อนว่า คุณจะได้กินหนอนตัวเล็กก่อน คงจะต้องเหนื่อยแน่กว่าจะได้กินอิ่ม

ดัง นั้นเราควรทำอะไรที่ไม่เหมือนคนอื่น พยามหาลู่ทาง วิถีแบบใหม่ๆที่ไม่มีใครเหมือน และถึงแม้วันใดมีคนทำตาม ก็ให้มองว่างานของเรานั้นน่าสนใจ จนมีคนพยายามลอกเลียนแบบ แต่เสียงวิพากวิจารย์จะไปตกอยู่ที่คนที่ทำตามครับ คนจะจับตาดูว่าเขาจะสามารถลอกเลียนแบบได้ดีเท่าของต้นฉบับหรือไม่ แต่ถ้าเขาทำได้ดีกว่า ก็จะเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องพัฒนาให้ดีขึ้นไปอีก เพื่อกลับไปเป็นผู้ครองตลาดอีกครั้งหนึ่ง

นี่คือวงจรการพัฒนาครับ..

และถึงแม้การทำก่อนแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ควรท้อ ควรคิดว่านั่นคือประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ไม่ได้ประสบผลสำเร็จ
ขอ ให้ดู โทมัส อัลวา เอดิสัน เป็นตัวอย่าง เขาพยายามทำการทดลองให้กระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านเส้นลวดในหลอดสูญญากาศ และประสบความล้มเหลวถึง 999 ครั้ง ครั้งที่ 1,000 จึง

เกิดเป็นแสงสว่างทำให้โลกได้เทคโนโลยีหลอดไฟฟ้าในที่สุด นั่นเข้าทางวลี อมตะตลอดกาล

"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"

forums.thaisecondlife.net



INSURANCETHAI.NET
Line+