จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ
363
จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ
จุดอ่อนของคนไทย 10 ประการ
ต้องบอกว่า ประเทศไทย เปิดศักราชปีเสือไม่โสภา เมื่อ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศ ของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ)
ระบุว่าไทยอาจไม่ เป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนเหมือนที่ผ่านมาในสายตา ของนักลงทุนญี่ปุ่น
ทำให้คิดถึงความคิดเห็นของ วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าพ่ออมตะนครที่เคยพูดถึง “จุดอ่อน” ของคนไทยไว้ 10 ข้อคือ
1. คนไทยรู้จักหน้าที่ของตัวเองต่ำมาก โดยเฉพาะ หน้าที่ต่อสังคม เป็นประเภท มือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดเป็น ธุรกิจการเมือง ธุรกิจ ราชการ ธุรกิจการศึกษา ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไปเรื่อยๆ
2. การศึกษายังไม่ทันสมัย คนไทยจะเก่งแต่ภาษาของตัวเอง ทำให้ขาดโอกาสในการแข่งขันกับต่างชาติในเวทีต่างๆ ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ไม่มั่นใจในตัวเอง เราจึงตา มหลังชาติอื่น จะเห็นว่าคนมีฐานะจะส่งลูกไปเรียนเมืองนอกเพื่อโอกาสที่ดีกว่า
3. มองอนาคตไม่เป็น คนไทยมากกว่า 70% ทำงานแบบไร้อนาคตทำแบบวันต่อวัน แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ น้อยคนนักที่จะทำงานแบบเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอ มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจน
4. ไม่ จริงจังในความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ทำแบบผักชีโรยหน้าหรือทำด้วยความเกรงใจ ต่างกับคนญี่ปุ่นหรือยุโรปที่จะให้ความสำคัญกับสัญญา หรือข้อตกลง อย่างเคร่ง ครัด เพราะหมายถึงความเชื่อถือในระยะยาว ปัจจุบันคนไทยถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือด้านนี้ลงเรื่อยๆ
5. การ กระจายความเจริญยังไม่เต็มที่ ประชากรประมาณ 60-70% ที่อยู่ห่างไกลจะขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองและชุมชน ซึ่งเป็น หน้าที่ของภาครัฐที่ต้องส่งเสริม
6. การ บังคับกฎหมายไม่เข้มแข็ง และดำเนินการไม่ต่อเนื่อง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ปราบปรามไม่จริงจัง การดำเนินการ ตามกฎหมายกับผู้มีอำนาจ หรือ บริวารจะทำแบบเอาตัวรอดไปก่อน ไม่มีมาตรฐาน ต่างกับประเทศที่เจริญแล้ว ข้อนี้กระบวนการยุติธรรมจะต้องปรับปรุง
7. อิจฉาตาร้อน สังคมไทยไม่ค่อยเป็นสุภาพบุรุษ เลี่ยงเป็นศรีธนญชัยยกย่องคนมีอำนาจ มีเงิน โดยไม่สนใจภูมิหลัง โดยเฉพาะคนที่ล้มบนฟูกแล้วไปเกาะผู้มีอำนาจ เอาตัวรอด คนพวกนี้ร้ายยิ่งกว่า ผู้ก่อการร้ายดีแต่พูด มือไม่พายเอาเท้ารานํ้า ทำให้คนดีไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวเปลืองตัว
8. เอ็น จีโอค้านลูกเดียว เอ็น จีโอ บางกลุ่มอิงอยู่กับผลประโยชน์เอ็นจีโอดีๆ ก็มี แต่บ้านเรามีน้อย บ่อยครั้งที่ประเทศเราเสียโอกาสอย่างมหาศาลเพราะ การค้านหัวชนฝา เหตุผลจริงๆ ไม่ได้พูดกัน
9. ยังไม่พร้อมในเวทีโลก การสร้างความน่าเชื่อถือในเวทีการค้าระดับโลกของเรายังขาดทักษะและทีม เวิร์ค ที่ดี ทำให้สู้ประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ไม่ได้
10.เลี้ยง ลูกไม่เป็น ปัจจุบัน เด็กไทยขาดความอดทน ไม่มีภูมิคุ้มกันเป็นขี้โรคทางจิตใจ ไม่เข้มแข็ง เพราะเราเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่สอนให้ลูกช่วยตัวเองต่างกับชาติที่เจริญแล้ว เขาจะกระตือรือร้นช่วยตนเองขวนขวาย แสวงหา ค้นหาตัวเอง และเขาจะสอนให้สำนึกรับผิดชอบต่อสังคมข้อสุดท้าย!
สาเหตุที่มาแต่ละข้อ
1. เหตุนั้นย่อมมาจากการทำเพื่อตนเองมากกว่าคนอื่น บางครั้งพอจะทำอะไรเพื่อหน้าที่แล้วมันขัดผลประโยชน์ของตนเอง ก็เลือกทำในสิ่งที่ตนได้จึงไม่เคารพหน้าที่ของตนเอง
2. คนไทยอย่าว่าแต่ภษาอังกฤษเลยครับ ภาษาของตนเองก็ไม่ค่อยเก่ง เนื่องจากการทำอะไรตามใจตนเอง เช่นคำที่จะต้องเขียนให้ถูกต้อง ก็เขียนให้ผิดเอาสะดวกเข้าว่า ไม่ีฝึกออกเสียงควบกล้ำให้ชัด ทำให้เกิดความสับสนระหว่าง ร. กับ ล. เพราะออกเสียงเหมือนกันเลย ทั้ง ๆ ที่การออกเสียง 2 ตัวนี้ไม่เหมือนกัน
3. การหวังผลระยะสั้น สืบเนื่องมาสจากการทำเพื่อตนเองมากกว่าผู้อื่น ทำให้ไม่ค่อยคิดว่าต่อไปจะได้อะไรตามมา บางคนพอจะพูดความจริงก็ กลัวจะมีคนตำหนิ ไม่กล้าแอ่นอกรับคำตำ หนิจากผู้อื่นคอยรับแต่คำชม หรือพยายามทำให้ตนถูกตำหนิจากสังคมน้อยที่สุด ทำให้การคำนึงถะึงผลที่ตามมาน้อยลง การคิดอะไรจึงไม่เป็นระบบ คิดเพียงว่าทำอะไรแล้วได้อะไร ไม่คิดต่อไปว่าได้มาอย่างไร ด้วยกระบวนการใด ทำไมหรือเหตุใดจึงได้มาเช่นนั้น
4. การไม่เคยลำบากหรือมีแต่ความสบาย ทำให้ไม่คิดที่จะทำให้ตนพ้นจากความลำบาก ไม่รู้จักนำเอาความทุกข์ของตนเป็นที่ตั้ง แล้วไปหาสาเหตุ (สมุหทัย) แล้วแก้ไขอย่างไร (นิโรธ) แล้วก็ไปไม่ถึงผลหรือมรรค ทำไปท้อไป มีความอดทนอดกลั้นน้อยจึงทำอะไรฉาบฉวยไม่มั่นคงต่อสิ่ง ที่ตนทำ คอยแต่จะให้ผลเกิดขึ้นแต่ไม่คิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อไปให้ถึงผลนั้น แล้วมานั่งบ่นกันว่าทำผลนั้นให้เกิดขึ้นไม่ได้หรอก เพราะไม่คิดจะทำหรือคิดแล้วลงมือทำ พอเจออะไร นิดก็หยุดซะงั้น มันก็ไม่ก้าวไปไหนสักที
5. มีเหตุมาจากข้อ 7 ขอเปลี่ยนจากความอิจฉาเป็นความริษยา เพราะความริษยาแสดงออกมาให้ผู้อื่นรับรู้ ทำให้สังคมเกิดความขาดมุทิตา เห็นผู้อื่นดีกว่าตนไม่ได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ข้อนี้เกิดขึ้นได้อย่้างไร ข้อริษยานี่เองทำให้เตะตัดขากันเอง แล้วถ่วงความเจริญเป็นเหตุของ ข้อนี้
6. มองให้ตื้นคิดว่าคนไทยเป็นคนที่สงสารผู้อื่น แท้จริงแล้วมันไม่มีความเป็นธรรมในสังคมเลย ผู้มีเส้นมีสายเท่านั้นที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้ ผู้เล็กผู้น้อยในสังคมถูกดขี่ข่มเหงมากมาย กฎหมายจึงไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเกรงกลัวอำนาจ กลัวความเดือดร้อน จะย้อนกลับมาถึงตนมากกว่า
7. ตอบรวมกับ 5 มันผลอันเดียวกัน
8. เช่นเดียวกัน เพราะผู้ที่หาทางค้านผู้อื่น มีเหตุเพื่อต้องการเอาชนะผู้อื่น โดยไม่ให้ผลว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะเห็นว่าคำตอบของผมที่เกี่ยวข้องกับธรรมะ จึงต้องยาว เพราะต้องแสดงผลไปด้วย แสดงเหตุอบ่างเดียวมันง่ายแต่แสดงผลไปด้วยแล้วต้องให้ละเอียด เพื่อให้ผู้อ่านคิดตามได้ เหตุและผลจะถูกเรียงกันไปในความเห็นของ ผมเองตั้งแต่เหตุแรกเป็นผลแรก ผลแรกเป็นเหตุที่สอง ผลที่สองเป็น เหตุที่สาม ไปเรื่อย ๆ จนผลสุดท้ายได้อะไรมา มันถึงต้องยาวไม่ ใช่สักแต่ค้านอย่างเดียว ถ้าค้านอย่างเดียวจะเท่ากับการข่มผู้อื่นหรืออยากจะเอาชนะผู้อื่นนั่นเอง
9. การขาดความสามัคคี อยู่แบบตัวใครตัวมันมากขึ้น เหตุเพราะมองไม่เห็นความจริง หรือมองเห็นความจริงต่างกัน จึงขาดความตระหนักในปัญหาที่เกิดขึ้น จึงขาดจิตสำนึกร่วมเพื่อนำ ไปสู่การแก้ปัญหาร่วมกันใน สังคม ที่เห็นชัดเป้าหมายในการปฏิบัติ ธรรมยังต่างกัน การตระหนักในทุกข์ที่แต่ละคนมียังต่างกัน หากทุกคนคิด ตรงกัน แต่การคิดตรงกันนั้นต้องมองเห็นปัญหาด้วยการพิจารณาเป็นการส่วนตนด้วยความ ตระหนักอย่างแท้จริง แล้วบังเอิญเห็นพ้องกันจะแก้ผลในข้อนี้ได้
10. เพราะเข้าใจผิดเกรงหรือกลัวว่าลูกลำบาก ทั้ง ๆ ที่พุทธศซาสนาสอนไว้ชัดเจนว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เช่นผมเขียนในเว็บว่าจะทำอะไร ทำแล้วได้อะไร อย่างไร เขียนได้ผู้อ่านไปอ่านแล้วปฏิบัติเอาเอง คนจะสำเร็จมรรค ผลต้องทุกข์เสียก่อน มองให้ออกว่าทุกข์ของตนอยู่ตรงไหน แล้วทำตนให้พ้นทุกข์ตามนิโกรธหรือวิธีการทำให้พ้นด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้คนที่ปฏิบัติธรรมกับผมจึงต้องเสียสละแล้วไม่ได้สุขสบายง่าย ๆ ด้วยเหตุที่ต้องให้เขารู้ด้วยตนเองว่า ถ้าวันนี้เขามีความสุข เขาไปทำอะไรมา จึงได้ รู้ได้ด้วยตนเองด้วยการพิจารณาด้วยตนเองเท่านั้น พึ่งตน พึงธรรม มีธรรมเป็นศาสดา
INSURANCETHAI.NET