น้ำยาฆ่าเชื้อ
401

น้ำยาฆ่าเชื้อ

น้ำยาฆ่าเชื้อ ( Disinfectant )
น้ำยาฆ่าเชื้อเป็นชื่อเรียกสารเคมีที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ  ปลอดเชื้อ  หรือระงับเชื้อ ซึ่งจะระบุที่ฉลากของผลิตภัณฑ์ว่ามีฤทธิ์ระดับใด  ได้แก่
Antiseptics  :- หมายถึงสารเคมีที่ใช้ทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์  ใช้กับภายนอกของร่างกายสิ่งมีชีวิตโดยไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่อเหล่านั้น
Disinfectant :- หมายถึงสารเคมีที่ใช้ทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคและใช้กับสิ่งไม่มีชีวิตเช่น เครื่องมือและสถานที่เป็นต้น สารเคมีเหล่านี้จะทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนังและเยื่อเมือกของร่างกายโดยตรง
Germicide หรือ micromicide:- ความหมายใกล้เคียงกับ disinfectant ถ้าเจาะจงเฉพาะเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ จะระบุเป็น bactericide, fungicide , virucide, sporicide เป็นต้น


น้ำยาฆ่าเชื้อแบ่งเป็นประเภทต่างๆได้  2  วิธี  ดังนี้
1. แบ่งตามความสามารถในการทำลายเชื้อได้  3  ระดับ  ดังนี้ 
1.1 น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูง  (High-Level disinfectant)  หมายถึงสารเคมีที่สามารถทำลายสปอร์ของแบคทีเรียและจุลินทรีย์อื่นๆทุกชนิด  จึงเหมาะสมที่จะใช้เป็นสารที่ทำให้ปลอดเชื้อ  (sterilant)  ในวัสดุหรือเครื่องมือที่ต้องการปลอดเชื้ออย่างยิ่ง  (critical items)
ตัวอย่างสารเคมีกลุ่มนี้  ได้แก่  กลูตาราลดีไฮด์  2.0 - 3.2%  ก๊าซเอทิลีนอ๊อกไซด์ เป็นต้น
1.2 น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพปานกลาง  (intermediate-level disinfectants)  คือสารเคมีที่ไม่สามารถทำลายสปอร์ของแบคทีเรีย แต่สามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่มีความสำคัญ เช่น เชื้อวัณโรค และไวรัสได้ โดยฤทธิ์ในการทำลายเชื้อไวรัสเปลี่ยนแปลงไปตามความเข้มข้นของน้ำยา  ใช้สารเคมีเหล่านี้ในกลุ่มเครื่องมือที่ต้องการปลอดเชื้อปานกลาง  (semi-critical items) 
ตัวอย่างสารเคมี กลุ่มนี้  ได้แก่  แอลกอฮอล์  ฟอร์มาลดิไฮด์  ไอโอโดฟอร์  สารประกอบคลอรีน  (โซเดียมไฮโปคลอไรท์)
1.3 น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพต่ำ  (low-level disinfectants)  คือสารเคมีที่ไม่สามารถทำลายสปอร์ของแบคทีเรียและไม่สามารถทำลายเชื้อวัณโรคและเชื้อไวรัสได้ สารเคมีเหล่านี้เมื่อความเข้มข้นสูงเพิ่มสูงขึ้นอาจเปลี่ยนจาก low-level disinfectants เป็น intermediate-level disinfectants ได้เช่น povidone-iodine  จาก 75 ppm. ถึง 450 ppm.    สารเคมีบางชนิดแม้ความเข้มข้มจะเพิ่มขึ้นเพียงใดก็เป็น low-level disinfectants
เช่น benzalkonium chloride( ชื่อการค้า Zephirol, Zephiran ) สารเคมีกลุ่มนี้เหมาะสำหรับวัสดุหรือเครื่องมือที่ไม่จำเป็นต้องปลอดเชื้อมากนัก(non-critical item)



2. แบ่งตามคุณสมบัติทางเคมี  โดยเฉพาะโครงสร้างทางเคมี  (คัดเลือกเฉพาะน้ำยาที่ใช้อย่างแพร่หลาย)
2.1 กลุ่มอัลกอฮอล์(Alcohols)
อัลกอฮอล์ที่ใช้แพร่หลายคือเอทธิลแอลกอฮอล์  (ethylalcohol)  และไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์(Isopropyl alcohol)  ซึ่งเป็นสารระงับเชื้อ  และฆ่าเชื้ออย่างแพร่หลายมานานแล้ว 
คุณสมบัติ
-  อัลกอฮอล์ออกฤทธิ์โดยการตกตะกอนโปรตีนและละลายไขมันที่เยื่อหุ้มเซลล์   
- เอทธิลแอลกอฮอล์สามารถฆ่าเชื้อวัณโรคได้  และไวรัสพวก herpes, influenza, rabies ได้  แต่พวกไวรัสตับ   
    อักเสบและAIDS ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด  ขณะที่ไฮโซโพรพิลแอลกอฮอล์สามารถฆ่าได้             
- ระยะเวลาในการฆ่าเชื้อเร็วประมาณ 1-2 นาทีฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ทั้งกรัมบวก และกรัมลบ
- ไอโซโพรพิล แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคได้สูงกว่า เอทธิลแอลกอฮอล์ แต่ระเหยช้ากว่าทำให้
    ผิวแห้งและระคายเคืองผิวมากกว่า   
- ความเข้มข้นที่ดีที่สุดคือ 70%  เพราะมีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยที่สุดที่จะได้ผลดีที่สุด  และมีปริมาณน้ำที่ 
  พอเหมาะที่จะทำให้ผิวหนังเปียกได้ดี ช่วยให้แอลกอฮอล์แทรกซึมกระจายตัวได้ดีและระเหยช้าๆไม่เป็น
    อันตรายต่อผิวหนังมาก  ถ้าความเข้มข้นมากกว่า 80% ขึ้นไปประสิทธิภาพจะลดลง 
- ที่ความเข้มข้น 70%แอลกอฮอล์ทั้งสองชนิดนี้ใช้ได้ทั้งเป็นสารระงับเชื้อ  (Antiseptic)  และสารฆ่าเชื้อ 
  (Disinfectant)  นอกจากจะใช้เป็นสารฆ่าเชื้อโดยลำพังแล้วยังใช้ร่วมกับสารฆ่าเชื้ออื่นๆเช่น
    savlon 1:3o  in  alcohol 70%    ใช้แช่เครื่องมือกรณีต้องการฆ่าเชื้อเร่งด่วน 2-5 นาที  เป็นต้น
              ข้อจำกัดของแอลกอฮอล์
- ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อสัมผัสสารอินทรีย์ เนื่องจาก แอลกอฮอล์ไม่ละลายโปรตีนในเลือดหรือน้ำลาย
- กัดกร่อนทำลายเลนส์และเครื่องใช้พลาสติก
2.2 กลูตาราลดีไฮล์  (glutaraldehyde)
                คุณสมบัติ
- กลูตาราลดีไฮล์ ที่ความเข้มข้น  ≥ 2%  จัดเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูง
- ไม่ใช้เป็นAntiseptic เพราะมีฤทธิ์ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ 
- มีฤทธิ์ฆ่าสปอร์มากกว่า formaldlehyde 2-8 เท่า 
- สามารถฆ่า vegetative cell ของแบคทีเรียใน 5 นาที
- ฆ่าไวรัสตับอักเสบและเอดส์ได้ภายใน 15-30 นาที
- ความสามารถในการฆ่าสปอร์ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อและจำนวนเชื้อ 
- การฆ่าเชื้อวัณโรคจะฆ่าได้ช้าและมีฤทธิ์ฆ่าวัณโรคได้น้อยกว่าฟอร์มาดิไฮด์,ไอโอไดน์และแอลกอฮอล์
 
- มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้แม้ปนเปื้อนเลือดหรือสารคัดหลั่ง 
- ไม่ทำลายเนื้อพลาสติกและเลนส์ 
- มีฤทธิ์กัดกร่อนโลหะต่ำ  จึงเหมาะที่จะนำมาใช้ปลอดเชื้อวัตถุที่ไม่สามารถทนความร้อนได้
ข้อจำกัดของกลูตาราลดีไฮด์
- ราคาแพง 
- มีกลิ่นฉุนระคายเคือง  ต้องล้างออกให้หมดด้วยน้ำกลั่นหลังแช่น้ำยา  ก่อนแช่น้ำยาต้องล้างสารอินทรีย์ออกให้หมด  และเช็ดให้แห้งสนิทก่อน 
- ต้องระมัดระวังเรื่องวันหมดอายุ
- ต้องสวมถุงมือ  ใส่mask ทุกครั้งที่ใช้น้ำยานี้
- บริเวณที่ใช้ต้องมีอากาศถ่ายเทสะดวกเพราะยาระเหยได้บ้างและมีฤทธิ์ระคายเคือง 
- น้ำยาจะมีประสิทธิภาพอยู่ได้ 28 วัน  แต่ถ้าแช่เครื่องมือซ้ำไปซ้ำมาน้ำยาอาจ neutralized หรือ diluted ดังนั้นจึงใช้ต่อเนื่องเพียง 2 สัปดาห์  แล้วควรเปลี่ยน


2.3 สารประกอบคลอรีน  (Chlorine containing compounds)
คลอรีนมีสถานะเป็นก๊าซจึงไม่สะดวกที่จะนำมาใช้งานทั่วๆไปและสารละลายไม่คงตัว  สารเคมีที่ใช้กันแพร่หลายคือโซเดียมไฮโปคลอไรต์  ซึ่งมีคุณสมบัติต่างๆเหมือนกับคลอรีนแต่ใช้ง่ายกว่า  การออกฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อจากการละลายน้ำแล้วให้กรดไฮโปคลอรัส (Hypochlorus acid :-HOCL)  เข้าทำปฏิกิริยากับโปรตีนภายในเซลล์ของเชื้อจุลินทรีย์  หรืออาจเกิดการอ๊อกซิไดซ์ (oxidize)  ไวทัลเอนไซซ์ (vital enzynu)
ข้อดีของโซเดียมไฮโปคลอไรด์
- ราคาถูก
- สามารถฆ่าเชื้อได้ดีขึ้นกับความเข้มข้นของตัวยาจึงเป็นทั้ง Antiseptic และ Disinfectant (ความเข้มข้นจะต้องเป็นเปอร์เซ็นต์ของโซเดียมไฮโปคลอไรด์ หรือ ppm ของavailable chlorine โดย 1% NaOCl=10,000ppm available chlorine) 
- ความเข้มข้น 0.10-0.25 ppm  จะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่ได้ใน 15-30วินาที 
- สามารถฆ่าเชื้อวัณโรคได้แต่ไม่สามารถฆ่าสปอร์ได้ 
- ที่ความเข้มข้น 0.5-1%สามารถทำลายไวรัสได้ถึง 100%  เช่น HBvirus  และHTLV-3 (AIDS)  ความเข้มข้น 0.5%Sod hypochlorite (Dakin’s Solution)  สามารถใช้เป็นAntisepticใช้ล้างแผลสกปรกเพื่อละลาย  และดับกลิ่นเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว
            การใช้ประโยชน์
- Dakin’S solution ใช้ล้างคลองรากฟัน ในงานทันตกรรม
     
ข้อเสียของโซเดียมไฮโปคลอไรต์
      -  เป็นสารเคมีที่ไม่คงตัวต้องผสมน้ำยาใหม่ทุกวัน 
      -  ระคายเคืองเนื้อเยื่อและผิวหนัง 
      - กลิ่นฉุน กัดกร่อนโลหะ 
      -  ใช้ทำความสะอาดพื้นผิววัตถุได้  การใช้งานต้องสวมถุงมือทำความสะอาดใส่Maskแว่นตา
          ป้องกันและเสื้อคลุม
        -  ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อสัมผัสกับอินทรีย์วัตถุ    จึงควรทำความสะอาดเครื่องมือก่อนฆ่าเชื้อ
            ด้วยวิธีนี้
2.4 ไอโอโดฟอร์  (Iodophrrs)
สารละลายไอโอดีนหรือทิงเจอร์  ใช้เป็นยาระงับเชื้อ ( Antiseptic ) ที่ผิวหนังหรือเนื้อเยื่อมานานแล้ว  ไอโอโดฟอร์ที่นิยมใช้เป็นสารประกอบของไอโอดีนกับตัวทำละลาย ( Polyvinylpyrrolidone ) ซึ่งคุ้นเคยในชื่อ โพวีโด – ไดโอดีน
คุณสมบัติ 
- ออกฤทธิ์ในการทำลายจุลินทรีย์ โดย free Iodine ( I2 )  ผ่านผนังเซลไปทำลายโปรตีนและทำลายขบวนการสร้าง nucleic acid ของเชื้อจุลินทรีย์อย่างรวดเร็ว
- ประสิทธิภาพของการฆ่าเชื้อขึ้นอยู่กับปริมาณ free Iodine ซึ่งเกิดจากการเจือจางน้ำยาอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของบริษัทผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด
- ใช้ทั้งเป็นยาระงับเชื้อ ( Antiseptic ) และยาฆ่าเชื้อ ( Low-level ถึง intermediate–level disinfectant )
- สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้หลายชนิดรวมทั้งเชื้อวัณโรคกรณีสัมผัสนาน 5 – 10 นาที
        ประโยชน์ที่ใช้
- ใช้ฆ่าเชื้อบนพื้นผิว เช่น ยูนิคทำฟัน  ด้ามปรับโคมไฟ
- ใช้ฆ่าเชื้อวัสดุฟันพิมพ์ปาก หรือ ฟันปลอม
- ใช้เป็นน้ำยาแช่เครื่องมือก่อนล้าง
          ข้อจำกัด
- น้ำยาที่ผสมแล้วต้องเปลี่ยนใหม่ทุกวันเนื่องจากประสิทธิภาพสูงสุดในการฆ่าเชื้อวัณโรคจะเปลี่ยนไปหลังจากผสมแล้ว 24  ชั่วโมง
- ต้องใช้น้ำกลั่นในการเจือจางน้ำยาที่จะใช้งาน  หากเป็นน้ำกระด้างน้ำยาจะหมดประสิทธิภาพ
- กัดกร่อนพื้นผิวโลหะ และติดสี  ตกค้างกรณีใช้ไปนาน ๆ ( ต้องเช็คด้วยแอลกอฮอร์ หลังจากแช่น้ำยาแล้ว
- เวลาที่สัมผัสน้ำยาอย่างน้อย 10 นาที  จึงจะมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ
- สารอินทรีย์จะทำให้ประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อลดลง
2.5 กลุ่มฟีนอล ( Phenols ) 
    สารเคมีในกลุ่มฟีนอลเป็นยาฆ่าเชื้อชนิดแรกที่ใช้อย่างแพร่หลายในโรงพยาบาล  จากคุณสมบัติที่มีพิษต่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิต  มีกลิ่นฉุนระคายเคืองทางเดินหายใจ  ปัจจุบันจึงเลิกใช้  30 ปีที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาสารฆ่าเชื้อในกลุ่มฟีนอลใหม่โดยมีเกลือฟีนอลเป็นองค์ประกอบ
  คุณสมบัติ
- สามารถฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิดรวมทั้งเชื้อวัณโรค  แต่ไม่สามารถฆ่าสปอร์ได้
- เป็นสารเคมีในกลุ่มลดแรงตึงผิว ช่วยให้ทำความสะอาดง่ายขึ้น
- ไม่กัดกร่อนและไม่ให้สารตกค้าง
    การใช้งาน
- ใช้ทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์
- ใช้เป็นน้ำยาแช่ก่อนล้างทำความสะอาด
    ข้อจำกัด
ระคายเคืองผิวหนัง  ต้องระมัดระวังไม่ให้สัมผัสผิว
2.6 ควอเทอนารีแอมโมเนียมคอมเพานด์ ( Quat )
คุณสมบัติ
- เป็นสารช่วยลดแรงตึงผิว ช่วยในการทำความสะอาด
- มีอันตรายต่อผู้ใช้น้อย ไม่ระคายเคืองผิวหนังและไม่กัดกร่อนพื้นผิว
- น้ำยาเมื่อเจือจางแล้วมีความคงตัวไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทิ้งทุกวัน
- สามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้หลายชนิดรวมทั้ง Virus Aids แต่ไม่สามารถฆ่าสปอร์  เชื้อวัณโรค และไวรัสตับอักเสบได้  จึงจัดเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพต่ำ  ไม่สามารถนำมาใช้ฆ่าเชื้อเครื่อมือได้  สามารถใช้ทำความสะอาพื้นผิวภายนอกเท่านั้น
- ใช้เวลาในการสัมผัสพื้นผิว 10  นาทีในการฆ่าเชื้อ
- ทำให้เกิดสารตกค้างซึ่งไม่ย่อยสลายโดยธรรมชาติ
- ประสิทธิภาพลดลงเมื่อสัมผัสสารอินทรีย์
2.7 ควอเทอนารีแอมโมเนียมคอมเพานด์ผสมแอลกอฮอล์ หรือ ควอทแอลกอฮอล์ ( Quat- alcohol )
เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อชนิดใหม่ซึ่งนำข้อดีของน้ำยาในกลุ่มแอลกอฮอล์มาลดข้อด้อยของน้ำยาในกลุ่มควอท  จึงเป็นการผสมผสานกันได้น้ำยาฆ่าเชื้อใหม่
คุณสมบัติ
- เวลาในการสัมผัสพื้นผิวในการทำลายเชื้อลดลงครึ่งหนึ่ง ( จากเดิม 10 นาที )
- ไม่มีสารตกค้างที่พื้นผิว ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำหลังจากขึ้นจากน้ำยา
- ไม่กัดกร่อนทุกพื้นผิว เช่น โลหะ แก้ว  พลาสติก
- ไม่ระคายเคืองผิวหนังหรือเนื้อเยื่อ  ( เมื่อเจือจางแล้ว )
- ประสิทธิภาพไม่ลดลงเมื่อสัมผัสกับสารอินทรีย์
- ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างที่ไม่ย่อยสลายในสิ่งแวดล้อม
- กรณีที่ผสมแอลกอฮอล์มากกว่า 40 % โดยมีปริมาณ quat มากกว่า 0.20% แต่ไม่มากกว่า 0.30 %  สามารถฆ่าเชื้อวัณโรคได้  จึงจัดเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อที่ประสิทธิภาพปานกลาง
การใช้ประโยชน์
- ใช้แช่เครื่องมือก่อนล้างทำความสะอาด
- ทำความสะอาดพื้นผิวในคลินิกทันตกรรม
- ฆ่าเชื้อเครื่องมือและวัสดุทันตกรรมในกลุ่ม Semicritcal

คุณสมบัติของน้ำยาฆ่าเชื้อที่ดี
- สามารถทำลายเชื้อได้รวดเร็วและหลายชนิด
- สามารถฆ่าเชื้อวัณโรค  เชื้อไวรัสชนิดมีปลอก ( AIDS ) และชนิดไม่มีปลอก ( ไวรัสตับอักเสบ )
- มีความคงตัวแม้อยู่ในสถาวะที่เป็นกรดหรือด่าง
- ประสิทธิภาพไม่ลดลงเมื่อสัมผัสสารอินทรีย์
- ไม่กัดกร่อนพื้นผิว ( โลหะ  พลาสติก ยาง )
- ไม่ระคายเคืองผิวหนัง  เยื่อเมือก  ไม่เป็นอันครายต่อร่างกาย 
- ไม่มีกลิ่นเหม็น
- ไม่มีผลกระทบต่อระบบบำบัดน้ำเสีย
- ราคาเหมาะสม

หลักในการเลือกใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ
หลักทั่วไปมีดังนี้
1. วัตถุประสงค์ในการใช้  พิจารณาว่าจะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อกับสิ่งที่ต้องการทำลายเชื้อประเภทใด  และสิ่งเหล่านั้นมีเชื้ออะไรที่เกี่ยวข้อง
2. คุณสมบัตทางกายภาพ ทางเคมี ทางชีววิทยาของน้ำยาฆ่าเชื้อนั้น ได้แก่ 
                ความคงตัวของน้ำยา
        อายุของน้ำยาที่ใช้
3. ความปลอดภัยของผู้ใช้  คำนึงถึง
                การดูดซึมเข้ากระแสเลือด 
                การระคายเคืองต่อผิวหนัง
                อาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น
4. ความน่าเชื่อถือ
        เอกสารกำกับยาที่แนบมาจากบริษัท
        เอกสารทางการแพทย์    องค์กรสากลที่เกี่ยวข้องรับรอง  ไม่โฆษณาเกินความเป็นจริง
        ราคาเหมาะสม



INSURANCETHAI.NET
Line+