อันตรายจากแสงแดดบ้านเรามีน้อยเพียงใด
530
อันตรายจากแสงแดดบ้านเรามีน้อยเพียงใด
อันตรายจากแสงแดดบ้านเรามีน้อยเพียงใด
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อนซึ่งอุดมไปด้วยสายลมและแสงแดดที่แผดจ้าได้ในทุกเวลาในทุก ฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้พบว่าชั้นบรรยากาศของโลกเริ่มบางลงและเกิดรู รั่วของชั้นโอโซน(Ozone) จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้แสงแดดหรือรังสีอัลตราไวโอเลตตัวร้ายสามารถสาดส่องลง มายังพื้นผิวโลกได้อย่างง่ายดาย และยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าแสงแดดจะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายแต่ก็เฉพาะแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเท่านั้น แต่จะมีอันตรายมากในช่วง 10.00 - 15.00 นาฬิกา ซึ่งรังสีอัลตราไวโอเลตจะเริ่มแผดเผาและมีปริมาณมาก และถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะมีเมฆปกคลุมมากก็ใช่ว่าจะปลอดภัยจากแสงแดด เพราะรังสีตัวร้ายสามารถเล็ดลอดผ่านลงมาได้อย่างสบายๆ
รังสีอัลตราไวโอเลต แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
· UVC เป็นรังสีที่มีความยาวของคลื่นสั้นที่สุด ซึ่งจะไม่ทำอันตรายต่อผิวมากนักเนื่องจากถูกดูดซับ โดย โอโซนในชั้นบรรยากาศ
· UVA เป็นรังสีที่มีช่วงคลื่นยาว ทำให้ผิวหนังมีสีคล้ำมากขึ้น ผิวจะแดง แต่น้อยกว่า UV-B เพราะ เป็นรังสีที่ผ่านทะลุเข้าไปทั้งชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ซึ่งทำอันตราย ต่อโครงสร้างและเซลล์ผิวหนังทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นรวมทั้งช่วยเสริมฤทธิ์ของ UV-B ทำให้เกิดเป็นอัยตรายต่อผิวหนังมากขึ้น
· UVB เป็นรังสีช่วงคลื่นสั้นกว่า จะผ่านทะลุหนังกำพร้าและหนังแท้ชั้นบนเท่านั้น ทำให้เกิด SUNBURN ซึ่ง มีอาการผิวบวมแดงและอาจพองปวดแสบร้อน ผิวไหม้และแห้งกร้านคล้ำซึ่งเมื่อผิวถูกแดดเผาเป็นประจำทำให้ผิวหม่องคล้ำ เกิดจุดด่างดำ มีปัญหาเรื่องฝ้า กระ หรือถ้าในระยะยาวอาจลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้
แสงแดด ผิว ทะเล ชายหาดโรคที่จะเกิดเมื่อเจอแสงแดดมีอะไรบ้าง
รังสี UV ในปริมาณเล็กน้อยจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้ในการผลิตวิตามิน D และใช้ในการรักษาโรคบางชนิดเช่น โรคกระดูกอ่อน โรคดีซ่าน เป็นต้น แต่การสัมผัสกันรังสี UV ในระยะยาวอาจก่อให่เกิดผลเสียต่อผิวหนัง ตา และระบบภูมิต้านทานคือ
· ทางผิวหนัง : รังสี UV ทำให้ผิวหนังร้อนแดงและเกิดผื่น (แดง) ถ้าได้รับปริมาณมากจะทำให้เกิด เม็ดพุพอง และจะทำลายผิวหนังชั้นบนซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ฝ้า กระ และอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้
· ตา : เกิดภาวะกระจกตาอักเสบ และเยื่อตาขาวอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดต้อเนื้อและต้อกระจก ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการส่วมแว่นกันแดด
· ระบบภูมิคุ้มกัน : ถ้า รับในปริมาณมากและเป็นเวลานานจะทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เกิดติดเชื้อ เช่น แบคทีเรียหรือไวรัสได้ง่าย และลดปประสิทธิภาพของวัคซีนด้วย
หากต้องการออกแดดบ่อยครั้งหรือโดนแดดจัดๆเช่นไปทะเลจะมีการป้องกันอย่างไร
การป้องกันสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการตากแดดในช่วงที่มีรังสีอัลตรา ไวโอเลตมากๆ คือเวลาประมาณ 10.00-15.00 น. หากจำเป็นต้องตากแดดก็ควรปกปิดผิวพรรณด้วยการใส่เสื้อแขยยาว คอปิด กางร่ม หรือใส่หมวกปีกกว้าง สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่งก็คือ การทาครีมกันแดดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพราะแม้จะอยู่ใต้ร่มไม้หรือชายคาบ้านก็ยังมีโอกาสไดรับรังสี UV เหมือนกับเวลาที่อยู่กลางแดด เพราะพื้นทราย พื้นน้ำ พื้นคอนกรีต สามรรถสะท้อนรังสี UV เข้าสู่ผิงกายได้หรือแม้กระทั่งในวันที่มีเมฆหมอกหนาก็ยังคงต้องทาครีมกันแดดเพราะเมฆหมอกไม่สามารถป้องกันรังสี UV ได้
เลือกใช้ครีมกันแดดอย่างไร
พิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ ค่า SPF และค่า PA ซึ่งค่า SPF คือค่าการปกกันผิวจากรังสี UVB โดยจะสังเกตจากค่าตัวเลขที่ต่อท้าย SPF ค่าตัวเลขยิ่งมากก็หมายถึงค่าการปกป้องก็จะมากตามตัวเลขไปด้วย โดยที่ SPF 1 จะสามารถปกป้องผิวได้นานประมาณ 20 นาที ดังนั้นเราจึงควรเลือกใช้ตั้งแต่ระดับ SPF 20 ขึ้นไป ปัจจัยต่อมาควรพิจารณาอีก 1 ตัว คือค่า PA หรือค่าการปกป้องผิวจากรังสี UVA โดยที่ค่า PA+ จะหมายถึงค่าการปกป้องผิวได้ 2 - 3 เท่า และค่าที่มากที่สุดคือ PA+++ จะหมายถึงค่าการปกป้องถึง 8 เท่าทั้งนี้ค่า SPF และ PA จะ ทำให้ระยะเวลาของการปกป้องผิวแตกต่างกันขึ้นอยู่กัยสภาพผิวของแต่ละคน และความเข้มข้นของแสงแดดในขณะนั้น หากคุณต้องการทำงานกลางแจ้งหรือมีกิจกรรมที่ต้องออกแดดบ่อยต้องเจอน้ำและ เหงื่อระหว่างวัน หรืออยากจะไปเที่ยวทะเลท้าทายสายลมและแสงแดด ก็ควรเลืองผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติกันน้ำ (Waterproof) ด้วย ที่สำคัญ! เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดควรทาผลิตภัณฑืป้องกันแดด ก่อนที่จะออกเผชิญหน้ากับแสงแดดประมาณ 15-30 นาที โดยควรหมั่นทาทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั่วทั้งลำคอ และช่วงไหล่อย่างสม่ำเสมอ
INSURANCETHAI.NET