วิธีตรวจ แบบโบราณ "การแมะ"
547

วิธีตรวจ แบบโบราณ "การแมะ"

การแมะ อยู่คู่กับการแพทย์แผนจีนมายาวนาน ในยุคสมัยที่มนุษย์ยังไม่มี เครื่องมือที่ทันสมัย มนุษย์จึงต้องเรียนรู้ ที่จะสังเกตสังกาธรรมชาติ ว่าในยามที่ร่างกายผิดปกติ จะมีอาการใดสำแดงออกมาให้เห็นหรือสัมผัสได้บ้าง การสูบฉีดโลหิต คือรหัสลับสำคัญ ชาวจีนจึงสั่งสมความรู้มาอย่างยาวนานนับพันปี กลายเป็นศาสตร์การวินิจฉัยโรค ที่น่ามหัศจรรย์นี้

การแมะ คือการตรวจจับชีพจร ซึ่งถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนการวินิจฉัยโรคของแพทย์แผนจีน โดยการใช้นิ้วทั้ง 3 นิ้วของแพทย์ แตะสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยบริเวณข้อมือซ้ายและขวาข้างละ 3 ตำแหน่ง รวมทั้งสองข้าง หกตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงสภาวะของร่างกายที่ตอบสนองต่อโรคภัยไข้เจ็บในขณะนั้น

การ แพทย์แผนจีนเรียกขั้นตอน การวินิจฉัยโรคพื้นฐานว่า “เปี้ยนเจิง” มีทั้งหมด 4 ขั้นตอน การแมะ หรือการตรวจจับชีพจรนั้น ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการวินิจฉัยโรค ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนของการแมะ ยังมีอีก 3 ขั้นตอนที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่มักถูกละเลยไม่ได้รับการกล่าวถึง

ขั้นตอนที่ 1 คือการมองสำรวจ ตรวจดูสีหน้า แววชีวิต ลักษณะอาการ ดูว่าสีหน้าซีด คล้ำ หรือมีประกายสดใส เลือดฝาดสมบูรณ์ หรือไม่ บริเวณอวัยวะต่างๆ สีผิวเป็นอย่างไร เช่น ถ้าบริเวณส่วนหูดำคล้ำส่วนใหญ่มักเป็นโรคไต ถ้ารูปร่างผอมผิวแห้งคล้ำมักเป็นโรคปอด หรือถ้าบริเวณเยื่อตาเหลืองหรือแดงมักเป็นโรคเกี่ยวกับตับ เป็นต้น อีกประการหนึ่งคือ การวิเคราะห์ลิ้นซึ่งสำคัญมากต้องดูทั้งตัวลิ้น สีสัน คราบเมือกบนลิ้น ซึ่งจะบอกถึงสภาวะภายใน ของร่างกายได้เป็นอย่างดี

ขั้นตอนที่ 2 การฟังและการสัมผัสกลิ่น ถ้าเสียงพูดของคนไข้เบา ช้า และเหนื่อย แสดงถึงพลังชี่หรือพลังลมปราณที่อ่อนแอ การพูดเสียงดังฟังชัด การโต้ตอบชัดเจนรวดเร็ว แสดงถึงพลังชี่ที่สมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนี้เสียงไอ เสียงกรน เสียงเรอ เสียงดังในท้อง กลิ่นตัว กลิ่นลมหายใจ กลิ่นปาก เหล่านี้ล้วนเป็นอาการที่ใช้ในการวินิจฉัยโรคได้ทั้งสิ้น

ขั้นตอนที่ 3 การถาม นับเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก การถามที่ละเอียดและแยกแยะตรงประเด็น จะทำให้ทราบข้อมูล การเจ็บป่วยถึง 60-70 % ช่วยให้การวิเคราะห์โรคได้ผลมากยิ่งขึ้น เช่น ถามอาการเจ็บป่วย เหงื่อ การขับถ่าย อาการปวดหัว เสมหะเหนียวข้นหรือใส หายใจหอบเหนื่อยหรือไม่ ลักษณะการมีรอบเดือน ประวัติการเจ็บป่วย ของคนในบ้าน เป็นต้น

และขั้นตอนสุดท้ายคือ การแมะ โดยแพทย์จะใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางของแพทย์ วางลงบนตำแหน่งชีพจร ของคนไข้บริเวณข้อมือฝั่งหัวแม่โป้ง สำหรับข้อมือซ้ายของคนไข้ ตำแหน่งที่นิ้วชี้ของแพทย์สัมผัสข้อมือคนไข้เรียกว่า “ฉุ่ง” เป็นตำแหน่งที่ใช้ตรวจลักษณะอาการของหัวใจและลำไส้เล็ก ตำแหน่งนิ้วกลางของแพทย์เรียกว่า “กวง” ใช้ตรวจลักษณะอาการของตับและดี และตำแหน่งสุดท้ายเป็นตำแหน่งที่นิ้วนาง ของแพทย์สัมผัสกับข้อมือ ของคนไข้ เรียกว่าตำแหน่ง “เฉียะ” ใช้ตรวจลักษณะอาการของไตและกระเพาะปัสสาวะ



INSURANCETHAI.NET
Line+