รถยนต์หาย...ใครจะต้องรับผิดชอบ
777
รถยนต์หาย...ใครจะต้องรับผิดชอบ
รถยนต์หาย...ใครจะต้องรับผิดชอบ
โดย นายไกรลาภ เนียวกุล
ปัญหาในเรื่องการสูญหายของรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ตามลานจอดรถยนต์หรืออาคารจอดรถยนต์ของสถานที่หรือสถานประกอบการต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น มีบางท่านกล่าวว่า เจ้าของสถานที่ รวมทั้ง บริษัทรักษาความปลอดภัย ต้องรับผิดชอบ บางท่านก็ว่าไม่ต้องรับผิดชอบ บางท่านก็ว่า ถ้าเสียค่าจอด และมีบัตรจอด เจ้าของสถานที่ต้องรับผิดชอบ แต่หากไม่เสียค่าจอดไม่ว่าจะมีบัตรจอดหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ต้องรับผิดชอบ บางท่านไปไกลกว่านั้นอีก โดยเฉพาะกรณีห้างสรรพสินค้านั้น หากรถยนต์หายให้เข้าไปซื้อของในห้างสรรพสินค้านั้น เพื่อเป็นหลักฐานว่าเราได้ใช้บริการ และเขาต้องรับผิดชอบ
คำกล่าวเหล่านั้นดูจะสับสนและคลุมเครือกันอยู่ หาข้อสรุปไม่ได้ว่า ตกลงแล้วใครจะรับผิดชอบ หรือจะเป็นบาปเคราะห์ของเจ้าของรถยนต์นั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนขอเสนอความเห็นในเรื่องนี้ โดยการวิเคราะห์ ไปตามหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องและแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาเท่าที่ค้นพบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้คงจะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย.
การที่เราจะพิจารณาว่า เจ้าของสถานที่มีความรับผิดชอบตามกฎหมายหรือไม่ จะต้องดูกฎหมายอยู่ 2 เรื่อง ดังนี้
1. กฎหมายสัญญา ได้แก่ สัญญาฝากทรัพย์ และ สัญญาเช่าทรัพย์ ( เช่าที่จอดรถยนต์ )
2. กฎหมายละเมิด
1. สัญญา
1.1 สัญญาเช่าทรัพย์
มาตรา 537 อันว่าเช่าทรัพย์สินนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้เช่าตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น
จะเห็นว่า สัญญาเช่าทรัพย์นี้ ผู้ให้เช่าต้องส่งมอบทรัพย์ที่เช่าให้แก่ผู้เช่า ผู้เช่าจึงต้องมีหน้าที่ดูแลทรัพย์ที่ตนเช่าเพราะผู้เช่าได้สิทธิครอบครองในทรัพย์ที่เช่า เช่น กรณีให้เช่าที่จอดรถยนต์ ผู้เช่าจึงต้องมีหน้าที่ดูแลที่จอดรถยนต์ของผู้ให้เช่า ในทางกลับกัน ผู้ให้เช่าไม่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์ในที่นี้คือ รถยนต์ของผู้เช่าพื้นที่แต่อย่างใด เพราะผู้เช่าไม่ได้โอนสิทธิครอบครองในรถยนต์ ( ส่งมอบรถยนต์ )มาให้ผู้ให้เช่าดูแล หากโอนสิทธิครอบครองมา ก็ไม่ใช่สัญญาเช่า แต่จะเป็นสัญญาฝากทรัพย์
1.2 สัญญาฝากทรัพย์
มาตรา 657 อันฝากทรัพย์นั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้ฝาก ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับฝาก และผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตนและจะคืนให้
ลักษณะสำคัญของสัญญาฝากทรัพย์ตามมาตรา 657 ดังกล่าวนี้ กล่าวโดยสรุปก็คือ
ก. ผู้ฝากจะต้อง “ โอนสิทธิครอบครอง ” ในตัวทรัพย์ให้แก่ ผู้รับฝาก หากไม่มีการโอนสิทธิครอบครองในตัวทรัพย์กันแล้ว สัญญาฝากทรัพย์เกิดขึ้นไม่ได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้รับฝากต้องมีสิทธิครอบครองในตัวทรัพย์ และ
ข. หน้าที่ของผู้รับฝากก็คือต้องใช้ความระมัดระวังทรัพย์ที่รับฝากไม่ให้สูญหายหรือบุบสลาย หน้าที่ดังกล่าวนี้อยู่ในมาตรา 659 ซึ่งกฎหมายวางระดับความระมัดระวังในการดูแลรักษาทรัพย์ที่รับฝากไว้ไม่เท่ากัน ขึ้นกับข้อเท็จจริงในขณะที่ฝากกันด้วย ซึ่งเรื่องนี้ไม่ขอกล่าวเนื่องจากมีรายละเอียดที่มากเกินไป และต้องใช้การอธิบายกันเป็นอย่างมาก
เมื่อหน้าที่ของผู้รับฝากเป็นเรื่องของการใช้ความระมัดระวัง ( Obligation of care or of prudent หรือ Duty of care ) กรณีการจอดรถยนต์ในลานจอดรถยนต์ตามสถานที่ต่างๆ หรือ สถานประกอบการ เช่น ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ เป็นต้น (ยกเว้นกรณีของเจ้าสำนักโรงแรม) นั้น อย่างไร หรือ เมื่อไร ที่จะเรียกได้ว่า ผู้ขับขี่ หรือเจ้าของรถยนต์ได้ทำการส่งมอบรถยนต์ให้อยู่ในอารักขาของสถานประกอบการ หรือ เจ้าหน้าที่ของสถานประกอบการ เช่น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น กล่าวคือ อย่างไร หรือเมื่อไร จึงจะเรียกได้ว่ามีการโอนสิทธิครอบครองให้แก่กัน ตรงนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก และก่อให้เกิดความสับสนกันเป็นอย่างมาก
จากการศึกษาตามหลักวิชาการทางกฎหมาย รวมทั้งแนวคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ผู้เขียนขอตั้งประเด็นการวิเคราะห์ ดังนี้ คือ ถือเอาการส่งมอบกุญแจเป็นหลัก ก. ส่งมอบกุญแจเป็นสัญญาฝากทรัพย์
คำพิพากษาฎีกา 932/2517
คนของโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ไปฝากที่ปั๊มน้ำมันของจำเลยที่ 4 ได้มอบกุญแจรถยนต์ให้ไว้ คนของจำเลยที่ 4 ได้นำรถยนต์ของโจทก์เข้าไปเก็บไว้ในที่เคยเก็บรถยนต์ ปฏิบัติเช่นนี้มาเป็นเวลานาน การกระทำดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยได้ตกลงรับฝากรถยนต์ของโจทก์ไว้ในอารักขาของตนแล้วตลอดเวลาที่รถยนต์ของโจทก์อยู่ที่ปั๊มน้ำมันของจำเลย อำนาจการครอบครองรถยนต์ของโจทก์ตกอยู่กับจำเลยที่จะจัดการเกี่ยวกับรถยนต์นั้นได้ทุกเมื่อ จนกว่าโจทก์จะมารับรถยนต์คืนไป และเป็นสัญญารับฝากรถยนต์ที่จำเลยที่ 4 ได้รับผลประโยชน์เป็นเงินตอบแทนจึงเป็นสัญญาฝากทรัพย์โดยมีบำเหน็จ หาใช่สัญญาเช่าที่จอดรถไม่ หมายเหต บทความนี้เป็นความเห็นทางวิชาการ ของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ทางสถาบันไม่รับผิดชอบใดใด
แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยเกี่ยวกับการส่งมอบกุญแจมีดังนี้
หมายเหตุ ตามคำพิพากษานี้ จำเลยอ้างว่าเป็นการเช่าพื้นที่จอดรถยนต์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครอง แต่มีการฝากกุญแจกันด้วย รวมทั้งเสียค่าบริการ ศาลจึงฟังว่าเป็นฝากทรัพย์มีบำเหน็จค่าฝาก ไม่ใช่เช่าทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 2004/2517
ผู้จัดการจำเลยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล อนุญาตให้โจทก์จอดรถที่ปั๊มน้ำมันของจำเลย. แม้จำเลยจะไม่ได้รับบำเหน็จตอบแทนก็หาพ้นจากความรับผิดในฐานเป็นผู้รับฝาก ไม่
คนงานของจำเลยให้รถที่โจทก์ฝากแก่คนอื่นไปโดยมิได้ตรวจดูหนังสือที่มีผู้นำมาขอรับรถให้ดีเสียก่อนว่าเป็นลายมือชื่อของโจทก์หรือไม่ ทั้งๆ ที่คนขายน้ำมันของจำเลยจำลายมือโจทก์ได้ ดังนี้ เป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยต้องรับผิดใช้คืนแก่โจทก์
หมายเหตุ การฝากทรัพย์ ตามสัญญาฝากทรัพย์นั้นไม่จำเป็นต้องมีบำเหน็จค่าฝากก็ได้ ( โปรดดูมาตรา 659 วรรคแรก ประกอบ แต่ เช่าทรัพย์ต้องมีค่าเช่าเสมอ มิเช่นนั้นไม่เป็นเช่าทรัพย์ )
คำพิพากษาฎีกาที่ 365/2521
นำรถยนต์ไปจอดที่ปั๊มน้ำมันโดยมอบกุญแจรถแก่ลูกจ้างเจ้าของปั๊มจอดไม่ประจำที่ แม้มีประกาศไว้ที่ปั๊ม และในใบเสร็จระบุว่าเป็นเรื่องให้เช่าสถานที่จอดรถก็ไม่หักล้างการปฏิบัติซึ่งเป็นการฝากทรัพย์
หมายเหตุ ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ บันทึกหมายเหตุท้ายฎีกานี้ว่า “ หลักวินิจฉัยของศาลคือมีการส่งมอบทรัพย์ที่ฝากแก่ผู้รับฝาก จึงเป็นฝากทรัพย์ตาม ม.657 มิใช่เช่าที่จอดรถ การส่งมอบทรัพย์คือมอบกุญแจสำหรับรถ ”
คำพิพากษาฎีกาที่ 925/2536
จำเลยที่ 1 จัดบริการให้แก่ลูกค้า ซึ่งไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารของจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 2 ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ต้อนรับ เอากุญแจรถยนต์ขับรถยนต์เข้าที่จอด และเคลื่อนย้ายรถยนต์หากมีรถยนต์คันอื่นเข้าออกในบริเวณภัตตาคาร ออกใบรับที่จดหมายเลขทะเบียนรถยนต์และรับกุญแจรถยนต์ของโจทก์เก็บไว้ ถือได้ว่าเป็นการฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 657 ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้รับฝากจะต้องดูแลระมัดระวังสงวนทรัพย์สินที่ฝากนั้นเหมือนเช่นที่เคยประพฤติในกิจการของตนเอง เมื่อรถยนต์โจทก์ที่นำมาฝากเพื่อรับประทานอาหารในภัตตาคารของจำเลยที่ 1 หายไป โดยจำเลยที่ 1 มิได้ดูแลหรือใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นที่เคยประพฤติในกิจการของตน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ข. ไม่มีการส่งมอบกุญแจแต่เป็นสัญญาฝากทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 949/2518
โจทก์นำรถยนต์บรรทุกเล็กไปจอดที่ปั๊มของจำเลยที่มีบริการคิดค่าจอดเดือนละ 80 บาท ผู้นำรถมาจอดใส่กุญแจรถถือกลับไป แต่ปล่อยห้ามมือไว้เพื่อเข็นย้ายได้ รถของโจทก์หายไป โจทก์จึงฟ้องเรียกราคากับค่าเสียหายในการจ้างรถอื่นมาใช้แทน พฤติการณ์เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าการบริการเช่นนี้ของจำเลยเป็นการรับฝากรถ หาใช่ให้เช่าสถานที่จอดรถยนต์ไม่ จำเลยจึงต้องมีความระมัดระวังเท่าที่จะต้องใช้ในการประกอบการค้านั้น การที่ลูกจ้างของจำเลยไปทำธุระที่อื่นนั้นก็ควรจะจัดผู้อื่นดูแลแทน เมื่อรถยนต์หายไปในระหว่างนั้นเป็นการไม่ระมัดระวังดูแลรถยนต์เท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้ จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายคือราคารถที่ใช้มาแล้วเป็นเงิน 30,000.00 บาท และยังมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การไม่ชำระหนี้ได้อีก ตามมาตรา 222 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การที่โจทก์ต้องจ้างรถยนต์คันอื่นบรรทุกผักแทน เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับอันเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ใช้รถยนต์ตามปกติที่เคยใช้
หมายเหตุ ตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวน่าจะเป็นว่าศาลได้ฟังพยานหลายปาก และเชื่อในคำของพยานว่า พฤติกรรมของจำเลยที่แสดงออกต่อผู้ใช้บริการเป็นเรื่องของการฝากทรัพย์ กล่าวคือ ฝากรถยนต์ ซึ่งมีคำพิพากษาฎีกาอีก 2 ฉบับ ที่อ้างถึง พฤติกรรมของจำเลย ( ในเนื้อหาไม่ปรากฏว่ามีการส่งมอบกุญแจหรือไม่) ได้แก่ คำพิพากษาฎีกาที่ 475/2522 และ คำพิพากษาฎีกาที่ 331/2524
คำพิพากษาฎีกาที่ 475/2522
ปั๊มของจำเลยปฏิบัติต่อลูกค้ามีพฤติการณ์แสดงว่า จำเลยยอมรับรถจากผู้อื่นมาอยู่ในความอารักขาของจำเลยที่ปั๊มน้ำมันจึงเป็นลักษณะฝากทรัพย์ ตามมาตรา 657 ไม่ใช่ให้เช่าสถานที่เพื่อจอดรถ
คำพิพากษาฎีกาที่ 331/2524
การที่จำเลยยินยอมให้บุคคลอื่นนำรถเข้าไปจอดบริเวณปั๊มน้ำมันของจำเลยโดยปั๊มได้รับเงินค่าจอดเป็นประโยชน์ตอบแทน เมื่อปั๊มปิดจะมีรั้วเหล็กปิดกั้นหน้าปั๊มไว้ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าทางปั๊มได้รับมอบทรัพย์สินไว้เพื่อดูแลเก็บรักษาไว้ในอารักขาของตนเป็นการรับฝากทรัพย์ตามป.พ.พ. มาตรา 657 แม้ทางปั๊มจะมีประกาศว่าให้เช่าเป็นที่จอดรถรวมทั้งระบุข้อความในใบรับเงินและเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งไม่ต้องรับผิด ก็เป็นการกระทำของจำเลยฝ่ายเดียว บุคคลภายนอกมิได้มีข้อตกลงตามนั้น อันจะทำให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติของจำเลยที่ 1 ไปในรูปลักษณะของนิติกรรมอย่างอื่นซึ่งมิใช่ลักษณะของการฝากทรัพย์
หมายเหตุ ศาลฎีกากล่าวไว้ตอนหนึ่งในคำพิพากษาว่า “ ....ทางปั๊มจะเป็นผู้ชี้บริเวณที่จะจอดและว่าเมื่อปั๊มปิดจะมีรั้วเหล็กปิดกั้นหน้าปั๊มใส่กุญแจมีคนประจำเฝ้าปั๊มไว้ด้วย ซึ่งแสดงว่าการนำรถเข้าจอดภายในอาณาบริเวณปั๊ม ทางปั๊มมิได้กำหนดสถานที่ที่จอดรถของแต่ละคันให้เป็นที่แน่นอนตายตัว แล้วแต่ทางปั๊มจะกำหนดสถานที่ให้จอดเป็นคราว ๆ และชอบที่จะเคลื่อนย้ายรถที่จอดได้ตามควรแก่กรณี ซึ่งตามทางปฎิบัติและพฤติการณ์ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าทางปั๊มได้รับมอบทรัพย์สินไว้เพื่อดูแลเก็บรักษาไว้ในอารักขาแห่งตน อันเป็นการรับฝากทรัพย์ ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 657 ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่าไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับตัวรถก็ดี ทางปั๊มมีป้ายประกาศว่าให้เช่าเป็นที่จอดรถก็ดีรวมทั้งได้ระบุข้อความในใบรับเงินและเงื่อนไขต่าง ๆ ซึ่งไม่ต้องรับผิดตามเอกสารหมาย จ.3 ก็ดี เห็นว่าเป็นการกระทำของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวบริษัทขวัญใจภาพยนต์ จำกัด มิได้มีข้อตกลงตามนั้น อันจะทำให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติของจำเลยที่ 1 ไปในรูปลักษณะของนิติกรรมอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่ลักษณะของการรับฝากทรัพย์ดังจำเลยอ้าง… ”
ค. ส่งมอบกุญแจเป็นสัญญาเช่าทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 657/2521
โจทก์จอดรถยนต์ที่สถานีบริการน้ำมันของจำเลย มอบกุญแจรถแก่คนของจำเลย โดยมีป้ายและใบเสร็จรับเงินข้อความว่า เช่าสถานที่ ไม่รับผิดในทรัพย์สูญหาย เจตนาของคู่กรณีไม่ใช่เรื่องฝากทรัพย์ กุญแจที่มอบเพื่อเคลื่อนย้ายรถ ไม่ใช่มอบให้ครอบครอง
หมายเหตุ คดีนี้แม้ส่งมอบกุญแจ แต่เป็น เช่าที่จอดรถเนื่องจาก โจทก์ ตกลงในเรื่องเช่าทรัพย์ ดังที่ศาลฎีกาอธิบายไว้ตอนหนึ่งดังนี้ “...ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า รถยนต์ของโจทก์หายไปจากที่จอดรถภายในปั๊มน้ำมันของจำเลย ตามประเด็นเรื่องฝากทรัพย์มีปัญหาพิจารณาในเบื้องต้นว่าเมื่อโจทก์นำรถเข้ามาจอดในสถานที่จอดรถภายในปั๊มน้ำมันจำเลยนั้น โจทก์ได้รับทราบข้อตกลงจากจำเลยว่าเป็นการเช่าสถานที่ไว้จอดรถ และเรื่องที่จำเลยไม่รับผิดในความเสียหาย สูญหายของทรัพย์สินในที่เช่าดังที่จำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ พิเคราะห์แล้วในเรื่องฝากรถไว้กับจำเลย คงมีแต่ตัวโจทก์ปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่าได้นำรถมาฝากไว้กับจำเลย เมื่อรถหายไปจำเลยต้องรับผิด แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากพฤติการณ์ของโจทก์เองเช่น โจทก์นำรถมาจอดในปั๊มน้ำมันเป็นเวลาหลายเดือนก่อนรถหาย โจทก์ได้เห็นมีป้ายขนาดใหญ่ตามภาพถ่ายที่จำเลยอ้างประกอบแสดงไว้ในปั๊ม โจทก์ได้รับใบเสร็จรับเงินจากจำเลยตามที่อ้างประกอบ และโจทก์ยังได้ลงชื่อไว้ในใบเสร็จรับเงินหมาย ล.5 ซึ่งเป็นคู่ฉบับกับใบเสร็จหมาย จ.8 ประจำเดือนสิงหาคม 2517 ในใบเสร็จดังกล่าวมีข้อความแสดงไว้ชัดแจ้งว่าเป็นเรื่องเช่าสถานที่จอดรถ และไม่รับผิดในทรัพย์สินสูญหายเสียหายของจำเลย จึงเชื่อตามที่จำเลยนำสืบว่า เมื่อโจทก์นำรถเข้ามาจอดในปั๊มน้ำมันจำเลยนั้น โจทก์ได้รับทราบเงื่อนไขและได้ตกลงกันให้เป็นการเช่าสถานที่ตามที่จำเลยได้แบ่งเป็นช่อง ๆ ไว้ ไม่ใช่เป็นการรับฝากรถ และจำเลยไม่รับผิดในการเสียหายสูญหายของทรัพย์สินในสถานที่เช่า เมื่อเจตนาของคู่กรณีประสงค์ให้เป็นเรื่องเช่าดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่ารถและค่าเสียหายตามฟ้อง เพราะรถยนต์หายไปไม่ได้เกิดจากความผิดของฝ่ายจำเลยที่โจทก์อ้างอีกประการหนึ่งว่าโจทก์ได้มอบลูกกุญแจรถดอกหนึ่งให้เจ้าหน้าที่ประจำปั๊มน้ำมันจำเลยเก็บรักษาไว้จึงถือว่าเป็นการมอบรถให้อยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยนั้น ก็ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์เองว่า โจทก์เป็นผู้ปิดประตูรถใส่กุญแจและเก็บรักษากุญแจรถอีกดอกหนึ่งไว้ การกลับมาเอารถไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ขอกุญแจจากเจ้าหน้าที่คืนหรือได้รับความยินยอมจากเจ้าหน้าที่ก่อน แสดงว่ารถยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ฉะนั้นการส่งมอบกุญแจรถให้แก่เจ้าหน้าที่ของจำเลย น่าเชื่อว่าเพื่อใช้เคลื่อนย้ายหรือล้างรถเป็นครั้งคราว ยังไม่ถือว่าเป็นการมอบรถให้อยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยซึ่งจะถือว่าเป็นการรับฝากทรัพย์..."
หมายเหตุ : ข้อเขียนนี้เป็นความคิดเห็นทางวิชาการของผู้เขียน ซึ่งสถาบันฯ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่เท่านั้น สถาบันฯ ไม่รับผิดชอบในความถูกต้องของข้อเขียนชิ้นนี้
Re: รถยนต์หาย...ใครจะต้องรับผิดชอบ
777
Re: รถยนต์หาย...ใครจะต้องรับผิดชอบ
ง. ไม่ส่งมอบกุญแจเป็นสัญญาเช่าทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ 286/2525
เช่าสถานที่สถานีบริการน้ำมันจอดรถ โดยนำรถเข้าไปจอดเองแล้วนำกุญแจรถกลับไปด้วย ต้องดูแลรับผิดชอบรถเองโดยจำเลยจะไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับการจอดรถ ทั้งยังมีข้อตกลงกันว่าให้เช่าเฉพาะที่จอดรถไม่รับผิดชอบในการที่รถสูญหายหรือเสียหายด้วยใบเสร็จรับเงินที่ออกให้ก็เขียนไว้ทุกฉบับว่า เป็นค่าเช่าที่จอดรถ ดังนี้ ข้อตกลงและพฤติการณ์ที่ปฏิบัติต่อกันระหว่างจำเลยกับ ว. เป็นเรื่องให้เช่าที่จอดรถ จำเลยมิได้รับมอบรถเพื่อเก็บรักษาไว้ในอารักขาแห่งตนจึงไม่เป็นการรับฝากทรัพย์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 657 ไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายเกี่ยวกับรถที่สูญหาย
หมายเหตุ ศาลฎีกาให้เหตุผลดังนี้ “ …ส่วนในปัญหาที่ว่าเป็นการรับฝากรถหรือให้เช่าที่จอดรถนั้นฟังได้ว่านายวีระยุทธตกลงกับจำเลยที่ 1 เช่าสถานที่บริการน้ำมันจอดรถโดยนายวีระยุทธหรือลูกจ้างนำรถเข้าไปจอดเอง ปิดกระจก ใส่กุญแจ ประตูรถเองทุกครั้ง แล้วนำกุญแจกลับไปด้วย ต้องดูแลรับผิดชอบรถเอง ถ้าจอดเกะกะจำเลยที่ 1 จะให้คนโทรศัพท์ให้ไปจอดให้เรียบร้อย จำเลยที่ 1 ไม่จัดการจอดรถให้ ไม่รับฝากกุญแจรถและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจอดรถ ทั้งยังมีข้อตกลงกันอีกว่าจำเลยที่ 1 ให้เช่าเฉพาะที่จอดรถ จะไม่รับผิดชอบในการที่รถสูญหายหรือเสียหายด้วย ใบเสร็จรับเงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่นายวีระยุทธก็เขียนไว้ชัดเจนทุกฉบับว่าเป็นค่าเช่าที่จอดรถ ดังนั้นข้อตกลงและพฤติการณ์ที่ปฏิบัติต่อกันระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายวีระยุทธ จึงเป็นเรื่องเช่าที่จอดรถ จำเลยที่ 1 มิได้รับมอบรถเพื่อเก็บรักษาไว้ในความอารักขาแห่งตนอันเป็นการรับฝากทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 657 จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในความเสียหายเกี่ยวกับรถที่สูญหายนี้ต่อนายวีระยุทธหรือต่อโจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากนายวีระยุทธ… ”
คำพิพากษาฎีกาที่ 847/2525
เจ้าของนำรถยนต์ไปจอดที่ปั๊มน้ำมันของจำเลยใส่กุญแจประตูรถยนต์ แล้วนำกุญแจติดตัวไปตามข้อความในใบเสร็จรับเงินที่ลงชื่อรับทราบ และยังมีข้อความต่อไปว่าทางร้านให้เช่าที่จอดรถไม่ใช่รับฝากรถไม่รับผิดชอบในการสูญหาย เสียหายต่อรถ และสิ่งของใดๆ ที่มีอยู่ในรถ ทั้งมิได้มีการส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลย และจำเลยตกลงว่าจะเก็บรักษาไว้ในอารักขาของจำเลยแล้วจะคืนให้ ดังนี้มิใช่สัญญาฝากทรัพย์ แต่เป็นเช่าที่จอดรถยนต์
หมายเหตุ ศาลฎีกาให้เหตุผลดังนี้ " ….ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายเสรี ปิยะธาราธิเบศร์ เช่าสถานที่ในปั๊มน้ำมันของจำเลยที่ 1 เพื่อใช้เป็นที่จอดรถยนต์ ไม่ใช่ให้จำเลยดูแลรักษารถยนต์ นายเสรี ปิยะธาราธิเบศร์เจ้าของรถยนต์เป็นผู้นำรถยนต์ไปจอดที่ปั๊มน้ำมันของจำเลยได้ใส่กุญแจประตูรถยนต์ แล้วนำกุญแจติดตัวไปด้วย และได้ลงชื่อรับทราบข้อความในใบเสร็จรับเงินซึ่งมีว่า "โปรดทราบ รถที่ท่านนำมาจอดบริเวณปั๊มนี้ ต้องนำกุญแจรถกลับไปด้วย เพราะทางร้านให้เช่าที่จอดรถไม่ใช่รับฝากรถ ฉะนั้น ทางร้านไม่รับผิดชอบในการสูญหาย เสียหายต่อรถและสิ่งของใด ๆ ที่มีอยู่ในรถ" ไม่มีการกระทำใด ๆ แสดงให้เห็นว่า เจ้าของรถยนต์หรือผู้นำรถยนต์ไปจอดได้ส่งมอบรถยนต์ให้จำเลย และจำเลยตกลงว่าจะเก็บรักษารถยนต์ที่นำไปจอดนั้นไว้ในอารักขาของจำเลย แล้วจำเลยจะคืนให้เจ้าของรถยนต์หรือผู้นำรถยนต์ไปจอดในปั๊มของจำเลย ก็ได้ทราบเจตนาของจำเลยอยู่แล้วตามข้อความในใบเสร็จรับเงินว่า จำเลยไม่รับผิดชอบในการสูญหาย เสียหายต่อรถยนต์และสิ่งของใด ๆ ที่อยู่ในรถ เพราะจำเลยให้เช่าที่จอดรถไม่ใช่รับฝากรถยนต์...”
จ. อื่นๆ
คำพิพากษาฎีกาที่ 1538/2526
ผู้นำรถยนต์เข้าไปจอดไว้ที่สวนสัตว์ดุสิตของจำเลยจะต้องขับรถผ่านประตูเข้าไปหาที่จอดเอาเองและเป็นผู้เก็บกุญแจรถไว้ จำเลยเพียงแต่จัดที่จอดรถไว้ มิได้จัดพนักงานเฝ้าดูแลรถยนต์ที่นำมาจอด พนักงานของจำเลยมิได้ขับรถยนต์ไปหาที่จอดให้และมิได้เก็บกุญแจรถไว้ เมื่อจะกลับผู้ครอบครองรถยนต์จะต้องขับรถออกไปจากที่จอดเอง และเงินที่พนักงานของจำเลยเรียกเก็บเมื่อนำรถยนต์เข้าไปในสวนสัตว์ก็เป็นค่าธรรมเนียมผ่านประตูไม่ใช่บำเหน็จค่าฝาก การที่จำเลยจัดพนักงานไว้คอยฉีกหรือตรวจบัตรจอดรถยนต์ตอนนำรถออกจากสวนสัตว์ เป็นเพียงมาตราการช่วยรักษาความปลอดภัยให้เท่านั้น ดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยรับฝากรถยนต์ที่นำเข้ามาจอด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความสูญหายของรถยนต์ดังกล่าว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้รับฝากทรัพย์มีบำเหน็จค่าฝากได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้รับฝาก โดยแสดงรายละเอียดในฟ้องว่า พนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษารถยนต์ที่รับฝากไว้ได้ละเลยหน้าที่ปล่อยให้คนร้ายลักรถยนต์ไปจากบริเวณที่จอดรถของจำเลย จึงเป็นเรื่องที่โจทก์มุ่งฟ้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในฐานะผู้รับฝากทรัพย์มีบำเหน็จค่าฝาก ปฏิบัติผิดหน้าที่ของผู้รับฝากเป็นเหตุให้คนร้ายลักรถยนต์ไป ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องละเมิดไว้ ฟ้องโจทก์จึงมีแต่เรื่องผิดสัญญาฝากทรัพย์ เรื่อง พนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยกระทำละเมิดจึงไม่เป็นประเด็นในคดี โจทก์จะขอให้จำเลยรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งพนักงานหรือลูกจ้างของจำเลยได้กระทำไปหาได้ไม่
หมายเหตุ คดีนี้ไม่มีการฝากกุญแจไว้ จึงไม่เป็นฝากทรัพย์ ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เช่าที่จอดรถยนต์ (ไม่มีการเก็บค่าบริการ การจอดรถยนต์ ) ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า โจทก์กับจำเลย ไม่ได้ทำสัญญาต่อกัน ศาลจึงมองว่าไม่ใช่เรื่องผิดสัญญานอกจากนั้นโจทก์ ไปฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาฝากทรัพย์ ศาลชั้นต้นเลยไม่กำหนดประเด็นเรื่องละเมิดไว้ ศาลฎีกาจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยในเรื่องละเมิดให้โจทก์
คำพิพากษาฎีกาที่ 1621/2534
จำเลยยินยอมให้ลูกค้านำรถยนต์มาจอดในบริเวณที่ว่างในสถานีบริการน้ำมันทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นการชั่วคราวได้โดยไม่ต้องเสียเงิน แต้ถ้านำรถยนต์ออกจากที่จอดหลังเวลา 6 นาฬิกา จะต้องเสียเงินคันละ 10 บาท การนำรถยนต์มาจอดหรือเอาออกไปไม่ต้องบอกใคร กรณีมีการเก็บเงินพนักงานของจำเลยจะมาเก็บ เมื่อ ส. นำรถยนต์มาจอด ล็อกประตูแล้วเก็บกุญแจไว้เองมิได้ส่งมอบให้พนักงานของจำเลย การครอบครองรถยนต์ระหว่างที่จอดยังอยู่ในความครอบครองของ ส. แม้จะมีการเก็บเงินค่าจอดหรือค่าบริการก็ไม่เป็นการฝากทรัพย์
หมายเหตุ ศาลฎีกาให้เหตุผลว่า “… แม้พนักงานของจำเลยทั้งสองจะมาดูขณะนาย ส. จะนำรถเข้ามาจอดก็เป็นเพียงดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น มิได้รับมอบการครอบครองรถยนต์ แม้จะเก็บเงินค่าจอดหรือค่าบริการก็ไม่เป็นการฝากทรัพย์จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ "
อนึ่ง ตาม คำพิพากษาฎีกาที่ 1538/2526 และ คำพิพากษาฎีกาที่ 1621/2534 มีประเด็นขึ้นศาลเพียงประเด็นเดียวคือ เรื่อง ฝากทรัพย์ นอกจากนั้น คำพิพากษาฎีกาที่ 1621/2534 ในย่อคำพิพากษาฎีกา ไม่ปรากฏว่า จำเลยต่อสู้เรื่องเช่าทรัพย์แต่อย่างใด แม้จะมีการเก็บค่าบริการจอดรถยนต์ด้วยก็ตาม
สรุป
แม้คำพิพากษาฎีกาที่ยกมานั้นไม่อาจสรุปเป็นเด็ดขาดว่า ศาลฎีกาถือเอาการส่งมอบกุญแจ จะทำให้เกิดสัญญาฝากทรัพย์ แต่หากสังเกตให้ดีแล้ว ศาลยึดเอาเรื่องส่งมอบกุญแจเป็นสำคัญ เว้นเสียแต่ว่า มีพฤติกรรมอย่างอื่นแสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องเช่าทรัพย์ ( เช่าที่จอดรถยนต์ ) ดังนั้นจึงขอสรุปเป็นข้อดังนี้
1. ส่งมอบกุญแจ เป็นเรื่องสัญญาฝากทรัพย์ ทั้งนี้จะเสียค่าบริการ ( บำเหน็จค่าฝาก ) หรือไม่ก็ตาม หากรถยนต์หาย เจ้าของสถานที่ต้องรับผิดชอบ เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่า ตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้วหรือ เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ( สุดวิสัยจะป้องกัน ) หรือเป็นเพราะรถยนต์นั้นเองหรือเป็นความผิดของผู้ฝากนั้นเอง
อนึ่ง ในปัจจุบันทางห้างสรรพสินค้าต่างๆ มักจะมีบริการที่เรียกว่า Valet Parking ซึ่งการบริการนี้ ลูกค้าของห้างดังกล่าวจะมอบกุญแจรถยนต์ของตนให้พนักงานของห้างสรรพสินค้า เพื่อนำรถยนต์ไปจอดตามจุดที่กำหนด เมื่อลูกค้าจะกลับ พนักงานก็จะขับรถยนต์นำมาให้ลูกค้าที่ทางออก เช่นนี้สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการฝากทรัพย์ หากสถานประกอบการอื่นทำเช่นนี้ ก็สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นการฝากทรัพย์เช่นเดียวกัน
2. ส่งมอบกุญแจ เป็นเรื่องเช่าทรัพย์ แต่ต้องเสียค่าบริการด้วย มิเช่นนั้นไม่อาจเป็นเช่าทรัพย์ได้แต่อย่างใด กรณีนี้ เจ้าของสถานที่ที่เป็นผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิดชอบ เหตุที่กล่าวเช่นนี้ เพราะ มีพฤติการณ์อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น
2.1 จำเลยซึ่งเป็น เจ้าของสถานที่ มีใบเสร็จรับเงิน มายืนยัน
2.2 มีการตกลงทั้งวาจาหรือหนังสือว่าเป็นการเช่า ( ที่จอดรถยนต์ )
2.3 มีป้ายแสดงอย่างเด่นชัดว่า เป็นการเช่าที่จอดรถยนต์ และ ผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิดความการสูญหายหรือบุบสลายต่อตัวรถยนต์
2.4 นอกจากตัว โจทก์ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์ (หรือผู้ครอบครองรถยนต์ ) เองแล้ว โจทก์ ไม่มีพยานคนอื่นมายืนยันว่าพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องฝากทรัพย์ แต่หลักฐานฝ่ายจำเลยกลับแสดงได้ว่าเป็นเรื่องเช่าทรัพย์ ตามนัย คำพิพากษาฎีกาที่ 657/2521
3. ไม่ส่งมอบกุญแจ เป็นเรื่องสัญญาฝากทรัพย์
ไม่ส่งมอบกุญแจ ตามปกติน่าจะเป็นเรื่องการเช่าที่จอดรถยนต์มากกว่า หากเสียค่าบริการ แต่หากมีพฤติการณ์เป็นที่รู้กันทั่วไปว่า เป็นเรื่องฝากทรัพย์ ศาลมักจะตัดสินว่า เป็น สัญญาฝากทรัพย์ ทั้งนี้ โดยไม่คำนึงถึงว่า ใบเสร็จรับเงิน หรือป้ายคำประกาศจะกล่าวว่า ให้เช่าที่จอดรถยนต์ ก็ตาม
ตรงนี้สำคัญมาก ฝ่ายโจทก์ต้องหาผู้ใช้บริการคนอื่นมาเป็นพยานเพื่อเพิ่มน้ำหนักในเรื่องนี้ หากไม่มีแล้ว ก็จะเป็นเรื่องเช่าทรัพย์
4. ไม่ส่งมอบกุญแจ เป็นเรื่องเช่าทรัพย์
ส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนี้ แต่ต้องมีการเสียค่าบริการ ( ค่าเช่า ) ด้วย สัญญาเช่าทรัพย์จึงจะเกิด นอกจากนั้น จำเลยหรือฝ่ายเจ้าของสถานที่ต้องมีหลักฐานอื่นมาแสดงด้วย เช่น ป้ายประกาศ ใบเสร็จรับเงินว่าเป็นเรื่องเช่าที่จอดรถยนต์ เป็นต้น
2. ละเมิด
จะเห็นว่า กรณีดังกล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องของสัญญา ซึ่งจะต้องมีการตกลงกันทั้งสองฝ่าย มิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สัญญา ซึ่งในทางปฏิบัติ เรามักจะเห็นในกรณีของ การนำรถยนต์เข้าไปจอดในลานจอดรถยนต์ของห้างสรรพสินค้าต่างๆ หรือ ตามโรงแรม ซึ่งเราเข้าไปสัมมนา หรือ รับประทานอาหาร บางทีเราอาจต้องเสียค่าจอดด้วย หรือบางทีเราก็ได้ใบจอดรถยนต์ มาไว้เพียงอย่างเดียวโดยไม่เสียค่าจอด เป็นต้น เหล่านี้อาจไม่ใช่เรื่องของสัญญาแต่อย่างใด โดยเฉพาะเมื่อไม่เสียค่าจอด เมื่อรถยนต์หาย เราจะฟ้องเรื่องผิดสัญญา เช่น ผิดสัญญาฝากทรัพย์ไม่ได้ ดังเช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1538/2526 เป็นต้น เมื่อไม่ใช่สัญญา ก็เหลือแต่เรื่องละเมิด เท่านั้นที่เราจะบังคับเอากับเจ้าของสถานที่
การบังคับด้วยกฎหมายละเมิดนั้น ขณะนี้มีเพียงมาตราเดียวที่จะนำมาใช้คือ มาตรา 420 ซึ่งบัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
มาตรา 420 นี้ เป็นความรับผิดชอบที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความผิดชอบของบุคคล ( Liability based on Fault ) กล่าวคือ การกระทำโดย จงใจ ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และ ประมาทเลินเล่อ ( อย่างธรรมดา )
นอกจากการกระทำแล้วยังรวมถึง การละเว้นกระทำการ ดังกล่าวด้วย แต่จะเป็นการละเว้นกระทำการนั้น จะต้องมีหน้าที่เสียก่อน กล่าวคือ ละเว้นกระทำการตามหน้าที่นั่นเอง หากไม่มีหน้าที่กระทำแล้ว ย่อมไม่เรียกว่า ละเว้นกระทำการ
นอกจากการกระทำแล้วยังรวมถึง การละเว้นกระทำการ ดังกล่าวด้วย แต่จะเป็นการละเว้นกระทำการนั้น จะต้องมีหน้าที่เสียก่อน กล่าวคือ ละเว้นกระทำการตามหน้าที่นั่นเอง หากไม่มีหน้าที่กระทำแล้ว ย่อมไม่เรียกว่า ละเว้นกระทำการ
Re: รถยนต์หาย...ใครจะต้องรับผิดชอบ
777
Re: รถยนต์หาย...ใครจะต้องรับผิดชอบ
ในทางปฏิบัติ จะเห็นว่า ตามสถานที่ต่างๆ ที่เราเข้าไปจอดรถยนต์ เมื่อรถยนต์หาย เขามักอ้างว่า สถานที่ที่ให้จอดรถยนต์นั้น เขามีไว้เพื่อ
1. เป็นการอำนายความสะดวกให้ผู้มาใช้บริการเท่านั้น
2. บัตรจอดรถที่จ่ายให้ ก็เป็นเพียง การช่วยรักษาความปลอดภัย
3. ค่าจอดก็เป็นเป็นค่าธรรมเนียมการจอด ไม่ใช่ค่าฝากรถยนต์ ดังเช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 1621/2534
เหล่านี้ เพื่อจะเป็นการเลี่ยงว่าเขาไม่มีหน้าที่ดูแลรถยนต์ที่เข้าไปจอด แต่แท้ที่จริงแล้ว นั่นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อไม่ต้องรับผิดชอบเท่านั้น หากสังเกตให้ดี การที่เราได้รับบัตรจอดรถยนต์นั้น แม้จะเป็นการช่วยรักษาความปลอดภัยก็ตาม แต่เขาก็กำหนดหน้าที่ของเขาขึ้นมาแล้วเช่นกัน เมื่อกำหนดหน้าที่ขึ้นมา ก็ต้องลงไปดูว่า พนักงานของเขาที่มาทำหน้าที่ตรงนั้น บกพร่องต่อหน้าที่หรือไม่ กล่าวคือ บกพร่องต่อหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ หากบกพร่อง จะอ้างว่าไม่ต้องรับผิดชอบไม่ได้เช่นกัน
การบกพร่องต่อหน้าที่ดังกล่าวนั้น ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง เป็นเรื่องๆ ไป ดังเช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 370/2540 ผู้ประกอบการ ห้างสรรพสินค้า สามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้อย่างแน่ชัดว่า พนักงานของเขา ปฏิบัติหน้าอย่างครบถ้วนและไม่ได้ประมาทเลินเล่อปล่อยรถยนต์ออกไปโดยไม่ตรวจสอบเอกสาร แต่สำหรับ คำพิพากษาฎีกาที่ 4223/2542 ผู้ประกอบการ ห้างสรรพสินค้า กลับไม่สามารถพิสูจน์ให้ศาลเชื่อได้ว่า พนักงานของเขาปฏิบัติหน้าอย่างครบถ้วนและไม่ได้ประมาทเลินเล่อปล่อยรถยนต์ออกไปโดยไม่ตรวจสอบเอกสาร เมื่อรถยนต์ของผู้เข้ามาใช้บริการหายไป เขาจึงต้องรับผิดชอบ
นอกจากนั้น เมื่ออ่านคำพิพากษาโดยละเอียดแล้วจะพบว่า ตาม คำพิพากษาฎีกาที่ 370/2540 เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใช้ความระมัดระวังอย่างมากก่อนปล่อยรถ ส่วนข้อเท็จจริงตาม คำพิพากษาฎีกาที่ 4223/2542 ใช้ความระมัดระวังน้อยกว่า ซึ่งอาจเกิดขึ้นจาก มาตราการรักษาความปลอดภัยของห้างทั้งสองต่างกัน กล่าวคือ ห้างสรรพสินค้า ( รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย) ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 370/2540 มีและใช้มาตรการที่รัดกุมมากกว่า ห้างสรรพสินค้า ( รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ) ตาม คำพิพากษาฎีกาที่ 4223/2542
คำพิพากษาฎีกาที่ 370/2540
จำเลยจัดอาคารที่จอดรถให้แก่ลูกค้า ผู้ที่นำรถเข้าไปจอดเป็นผู้หาที่จอดรถเองและเป็นผู้เก็บกุญแจไว้โดยไม่ต้องเสียค่าจอดแต่อย่างใด ส่วนการที่จำเลยจัดพนักงานไว้คอยฉีกหรือตรวจบัตรจอด รถยนต์ขณะที่นำรถยนต์ออกจากอาคารที่จอดรถของจำเลยนั้น เป็นเพียงมาตรการช่วยรักษาความปลอดภัยให้เท่านั้น ที่โจทก์อ้างว่าลูกจ้างของจำเลยปล่อยให้รถยนต์ออกจากอาคารที่จอดรถโดยไม่รับบัตรจอดรถคืนนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าลูกจ้างของจำเลยได้ปล่อยรถที่โจทก์รับประกันภัยออกไปโดยประมาทเลินเล่ออย่างไร แต่กลับได้ความจากพยานจำเลยว่า วันเกิดเหตุมีรถยนต์ขอออกจากอาคารที่จอดรถไปโดยไม่มีบัตรจอดรถยนต์รวม 3 คัน ลูกจ้างของจำเลยได้บันทึกทะเบียนรถยนต์ บัตรประจำตัวผู้ขับขี่หรือบัตรประจำตัวประชาชนไว้แล้ว ไม่ปรากฏว่าได้ปล่อยรถคันที่โจทก์รับประกันออกไป แม้ว่า ว. พยานโจทก์ก็เบิกความรับว่า เคยขับรถเข้าไปจอดในห้างของจำเลยแล้วออกไปโดยไม่คืนบัตรจอดรถ ลูกจ้างของจำเลยไม่ยอมให้ออกจนกระทั้งต้องแสดงเอกสารเกี่ยวกับรถให้ดูจึงจะนำรถออกไปได้ แสดงว่าลูกจ้างของจำเลยได้ตรวจสอบและปล่อยรถไปถูกต้องตามระเบียบเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเองมิได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อดังที่โจทก์ฟ้อง จำเลยจึงไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์
คำพิพากษาฎีกาที่ 4223/2542
จำเลยที่ 2 และบริษัท ธ. เป็นบริษัทในเครือเดียวกันมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการค้าหาประโยชน์จากการใช้สถานที่ศูนย์การค้าแอร์พอร์ตพลาซ่า ร่วมกัน การที่บริษัท ธ. ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ส่งพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 มาดูแลรักษาความปลอดภัยที่ศูนย์การค้าดังกล่าว จึงเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ในการใช้พื้นที่ศูนย์การค้าของบริษัท ธ. และจำเลยที่ 2 ทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ยังทำหน้าที่ส่งพนักงานรักษาความปลอดภัยไปดูแลรักษาความปลอดภัยที่ศูนย์การค้าแอร์พอร์ตพลาซ่าที่เกิดเหตุ พฤติการณ์ของบริษัท ธ. กับจำเลยที่ 2 ที่ประกอบกิจการค้าร่วมกัน โดยมีชื่อจำเลยที่ 2 และชื่อศูนย์การค้าดังกล่าวติดอยู่ในอาคารเดียวกัน และมีพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 คอยดูแลรักษาความปลอดภัยในศูนย์การค้านั้น ย่อมเป็นที่แสดงให้ผู้ใช้บริการเข้าใจว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของหรือได้ร่วมกับเจ้าของศูนย์การค้าดังกล่าวมอบหมายให้จำเลยที่ 1 รวมทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าผู้มาใช้บริการแทนจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นตัวการด้วย
การที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 ไม่ระมัดระวังตรวจบัตรจอดรถโดยเคร่งครัด อันเป็นการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ เป็นผลโดยตรงทำให้รถยนต์ของนาย ส. ถูกลักไป และเป็นการประมาทเลินเล่อ จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อนาย ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ดังนั้น จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับพนักงานรักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นลูกจ้างของตนในผลแห่งละเมิดต่อนาย ส. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ส่วนจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นตัวการมอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนดูแลรักษาความเรียบร้อยและปลอดภัยในบริเวณลานจอดรถของศูนย์การค้าดังกล่าว จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งตัวแทนของจำเลยที่ 2 ได้กระทำไปในทางการที่มอบหมายให้ทำแทนนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 ประกอบด้วยมาตรา 420 จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
หมายเหตุ ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลดังนี้ “ ... ข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีข้อปฏิบัติสำหรับผู้ที่จะนำรถยนต์เข้าไปจอดในบริเวณลานจอดรถของศูนย์การค้าดังกล่าวจะต้องรับบัตรผ่านจากพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เสียก่อน และเมื่อจะนำรถยนต์ออกจากบริเวณลานจอดรถก็จะต้องนำบัตรผ่านมอบคืนให้แก่พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ทางออก จึงจะนำรถยนต์ออกจากบริเวณลานจอดรถได้ หากไม่มีบัตรผ่าน พนักงานรักษาความปลอดภัยจะไม่อนุญาตให้นำรถยนต์ออก จะต้องนำหลักฐานความเป็นเจ้าของรถยนต์และบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดงจึงจะนำรถยนต์ออกไปได้รายละเอียดปรากฏตามข้อความด้านหลังบัตรผ่าน และบัตรผ่านเข้าออกเอกสารหมาย ล.3 และ ล.10 แม้จะปรากฏว่าผู้มาใช้บริการที่จอดรถจะเป็นผู้เลือกที่จอดรถยนต์เองดูแลปิดประตูรถยนต์และเก็บกุญแจรถยนต์ไว้เอง อีกทั้งที่ด้านหลังบัตรผ่านจะมีข้อความว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใด ๆ ของรถยนต์ที่เกิดขึ้นไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่ต้องเสียค่าบริการก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองดังกล่าวมาก็ย่อมทำให้ผู้ใช้บริการจอดรถโดยทั่วไปเข้าใจได้ว่าบริเวณลานจอดรถดังกล่าวนั้นจำเลยทั้งสองและเจ้าของศูนย์การค้าจัดให้มีบริการรักษาความเรียบร้อยความปลอดภัยสำหรับรถยนต์ที่จะนำเข้ามาจอดขณะเข้าไปซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าของจำเลยที่ 2 โดยมอบหมายให้จำเลยที่ 1 และพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนรับดูแลความเรียบร้อยความปลอดภัยทั้งขณะที่จะนำรถยนต์เข้าจอดในอาคารและขณะที่จะนำรถยนต์ออกจากอาคาร ซึ่งผู้ที่มิใช่เจ้าของรถยนต์และถือบัตรผ่านจะลักลอบนำรถยนต์ออกไปไม่ได้เลย เพราะจะมีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยตรวจสอบก่อนการกระทำที่ปฏิบัติก่อน ๆ มาดังกล่าวของจำเลยทั้งสองย่อมเป็นการก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยทั้งสองต้องดูแลรักษาความเรียบร้อยและปลอดภัยแก่รถยนต์ที่นำเข้ามาจอดโดยพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ได้รับมอบหมายมีหน้าที่โดยตรงที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ออกไปจากบริเวณที่จอด หรือป้องกันการโจรกรรมด้วยการตรวจบัตรตรงช่องทางออก ซึ่งหากมีการตรวจบัตรตรงช่องทางที่รถยนต์ออกโดยเคร่งครัดก็ยากที่รถยนต์ของนายสวาทจะถูกลักไปได้ การที่รถยนต์ของนายสวาทสูญหายไปนี้เชื่อว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 ไม่ระมัดระวังตรวจบัตรจอดรถโดยเคร่งครัดอันเป็นการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการโจรกรรมรถยนต์เป็นผลโดยตรงทำให้รถยนต์ของนายสวาทถูกลักไป และเป็นการประมาทเลินเล่อจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อนายสวาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420”
พึงสังเกตว่า
1. ในกรณีละเมิดนี้ ต้องระมัดระวังไว้เช่นกันว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ดี เจ้าของสถานที่ ก็ดี ไม่มีหน้าที่ดูแลรถยนต์คันใดคันหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง หากรถยนต์ ได้รับความเสียหายกล่าวคือไม่ได้สูญหาย เช่น ถูกขีดเป็นรอย ถูกงัดรถยนต์เพื่อขโมยทรัพย์สินภายในรถยนต์ บุคคลตามที่กล่าวมาอาจไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเช่นเดียวกัน หน้าที่โดยตรงของบุคลตามที่กล่าวมาเป็นเพียงหน้าที่โดยทั่วไปเท่านั้น แต่หากมี เขาก็สามารถอ้างได้ว่า “ ดูแลไม่ทั่วถึง ” จึงไม่ต้องรับผิดชอบ
2. ในกรณีละเมิดนี้ หากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลักรถยนต์ไป หรือ ร่วมมือกับผู้อื่นลักรถยนต์ไปนั้น นายจ้างอาจไม่ต้องรับผิดชอบได้ เพราะทำไปในฐานะส่วนตัว ไม่ได้ทำไปในทางการที่จ้าง ตามมาตรา 425
3. การละเว้นกระทำการตามหน้าที่ซึ่งเกิดจากสัญญาและก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิต่างๆ ของบุคคลล ก็เป็นการละเมิดโดยการเว้นกระทำการตามหน้าที่อย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
4. สำหรับสถานที่อื่นๆ ที่มีลานจอดรถยนต์ไว้ให้ หากไม่มีบัตรจอดรถยนต์ให้ มีเพียงเจ้าหน้าที่รัษาความปลอดภัย คอยอำนวยความสะดวกในการจัดการจราจรภายในสถานที่ เช่นนี้ก็เป็นยากที่จะตำหนิว่าเขาละเว้นกระทำการโดยประมาทเลินเล่อ เนื่องจาก เขาไม่มีหน้าที่ใดๆ ต่อเจ้าของรถยนต์เข้าไปใช้ที่จอดรถยนต์
5. ในกรณีของ อาคารชุด ( Condominium ) จะเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติ อาคารชุด พ.ศ. 2522 นิติบุคคลอาคารชุด มีหน้าที่ดูแลทรัพย์ส่วนกลาง ( ทรัพย์ส่วนกลางเป็นของเจ้าของห้องชุดทุกคน) ที่จอดรถยนต์อาจเป็นทรัพย์ส่วนกลาง แต่เขาก็ไม่มีหน้าที่ดูแลรถยนต์ของเจ้าของห้องชุด เว้นแต่มีข้อบังคับให้เขาช่วยดูแลรักษาความปลอดภัยให้ด้วย ด้วยเหตุนี้ กรณีของ อาคารชุด จึงต้องดูด้วยว่ามีข้อบังคับหรือข้อสัญญา ให้ ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทรับจ้างบริหารอาคารชุด กระทำอะไรบ้างนอกจากที่กฎหมายอาคารชุดกำหนดหน้าที่ไว้
6. สำหรับโรงแรมหรือสถานที่เช่นเดียวกับโรงแรม ต้องแบ่งแยกประเภทลูกค้าด้วยเนื่องจาก กฎหมายกำหนดความรับผิดชอบไว้ต่างกัน โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งแยกลูกค้าของโรงแรมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้เข้ามาพักในโรงแรม กับผู้เข้ามาใช้บริการอย่างอื่นในโรงแรม
6.1 ผู้เข้ามาพักในโรงแรม (คนเดินทางหรือแขกอาศัย) ความรับผิดชอบในเรื่องนี้ กฎหมายกำหนดไว้สูงกว่าระดับปกติ กล่าวคือ เป็นความรับผิดชอบโดยเคร่งครัด ( Strict liability ) กล่าวคือ ไม่จงใจไม่ประมาทเลินเล่อ ก็ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นหากรถยนต์สูญหาย หรือเสียหาย เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดชอบ เว้นแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ ( มาตรา 674 -675 )
แต่พึงสังเกตว่า
ก. ความรับผิดชอบเช่นนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบทางละเมิด แต่เป็นความรับผิดชอบเกี่ยวกับการฝากทรัพย์ตามกฎหมาย อันเป็นความรับผิดชอบตามกฎหมายอย่างหนึ่ง
ข. บุคคลที่ต้องรับผิดชอบมีแต่เฉพาะ เจ้าสำนักโรงแรม ผู้ต้องเสียหายก็ต้องเป็นเฉพาะ คนเดินทางหรือแขกอาศัย เท่านั้น
ค. ไม่ว่ากรณีจะเป็นเช่นใด ผู้ต้องเสียหายดังกล่าวอาจเรียกร้องภายใต้ละเมิดก็ได้
6.2 ผู้เข้ามาใช้บริการอย่างอื่นในโรงแรม บุคคลเหล่านี้เช่น ผู้เข้าสัมมนา เข้าไปรับประทานอาหาร หรือ งานเลี้ยง เป็นต้น การวินิจฉัยจะต้องใช้กฎหมายละเมิดตามที่กล่าวมาเป็นหลัก เว้นเสียแต่ว่า มีพฤติการณ์อื่นให้ปรากฏว่าเป็นการฝากทรัพย์ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของละเมิด อนึ่งบุคคลตามข้อ 6.2 นี้ ไม่อาจอ้าง มาตรา 674-675 มาใช้บังคับให้เจ้าสำนักโรงแรมให้ต้องรับผิดชอบได้ เพราะไม่ใช่ผู้เสียหายตามข้อ 6.1
เอกสารอ้างอิง
1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
2. คำพิพากษาฎีกา
คำพิพากษาฎีกาที่แสดงข้างต้นมาจาก
2.1 ระบบสืบค้นคำพิพากษาฎีกา http://www.deka2007.supremecourt.or.th/deka/web/search.jsp ยกเว้น คำพิพากษาฎีกาที่ 949/2518
2.2 รศ.ดร. ไผทชิต เอกจริยกร ,( ปัจจุบัน ศาสตราจารย์ ) คำอธิบายกฎหมาย จ้างแรงงาน…ฝากทรัพย์…., กรุงเทพฯ,วิญญชน , 2540 ( ยกเว้น ข้อ 2.3 และ ข้อ 2.4 ข้างล่าง )
2.3 คำพิพากษาฎีกาที่ 925/2536 , คำพิพากษาฎีกาที่ 1621/2534
ศาสตราจารย์ ประภาศน์ อวยชัย , ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 (เล่ม 2) มาตรา 575 ถึงมาตรา 701 , สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ , จิรรัชการพิมพ์ , 2542 และ
2.4 คำพิพากษาฎีกาที่ 370/2540
ศาสตราจารย์ประภาศน์ อวยชัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 (เล่ม 3 ) มาตรา 386 ถึงมาตรา 452 , สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ , ห้างหุ้นส่วนจำกัด จิรรัชการพิมพ์ , 2541
INSURANCETHAI.NET