9 วิธีทำให้มีรายได้รวมเดือนละกว่า 60,000 บาท ก่อนอายุ 30
948
9 วิธีทำให้มีรายได้รวมเดือนละกว่า 60,000 บาท ก่อนอายุ 30
9 วิธีเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเองง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำตามได้ ถ้ามนุษย์เงินเดือนนำไปปฏิบัติตามแล้วละก็บอกได้เลยว่า รายได้เกินครึ่งแสนต่อเดือนก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว
ใครที่เคยรู้สึกว่าทำงานมาก็หลายปี แต่ทำไมเงินเดือนที่มีถึงอยู่เท่าเดิม ทั้งที่ตั้งใจทำงานก็แล้ว ทุ่มเทก็แล้ว แต่เงินเดือนก็ไม่ยักจะขยับเขยื้อนไปไหน เราอยากให้คุณลองถามตัวเองว่าความสามารถของเราเหมาะสมที่จะได้รับเงินเดือนมากขนาดนั้นไหม ? ถ้าไม่ใช่ล่ะ เราจะต้องทำยังไงบ้าง ถ้าใครยังนึกไม่ออก วันนี้เรามีเคล็ดลับในการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเองแบบที่ทำตามได้ไม่ยาก สไตล์มนุษย์เงินเดือนจาก คุณ สมาชิกหมายเลข 2402541 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาฝากกัน ซึ่งหลังจากสมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอมท่านนี้ได้ทำตามวิธีที่ว่ามานี้ ก็ช่วยให้รายได้ของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่า 60,000 บาทต่อเดือน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปดูกันสิว่าต้องทำอย่างไร. . .
How To เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างไร ให้มีรายได้รวม 6x,xxx ต่อเดือน ก่อนอายุ 30 โดย คุณ สมาชิกหมายเลข 2402541 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สวัสดีครับเจ้าของกระทู้ อายุ 26 ปี ทำงานสายทรัพยากรมนุษย์ บังเอิญว่าเพิ่งได้โอกาสในการเปลี่ยนงานใหม่ที่ทำให้รายได้รวมต่อปี หารมาแล้วตกเดือนละ 6x,xxx บาท รายได้รวมในที่นี้คำนวณจากแค่เงินเดือนกับโบนัสจากการทำงานในบริษัทเท่านั้นนะครับ ไม่มีรายได้พิเศษจากอาชีพเสริมหรือหุ้น เพราะผมไม่ชอบความเสี่ยงและความผันผวนครับ และต่อไปนี้คือหลักการเป็นมนุษย์เงินเดือนแบบเน้นรายได้เป็นหลัก ถ้ามีเวลาก็เข้ามาอ่าน และคอมเม้นท์พูดคุยแลกเปลี่ยนได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
1. เรียนปริญญาโท
คิดจะเป็นมนุษย์เงินเดือนในบริษัทใหญ่ ๆ อยากก้าวหน้า อยากโตไว ต้องเรียนปริญญาโทครับ เดี๋ยวนี้วุฒิการศึกษากลายเป็นใบเบิกทางที่สำคัญมากสำหรับชาวออฟฟิศในการเลื่อนตำแหน่งครับ หาสาขาวิชาและมหาวิทยาลัยที่เด่นในงานด้านที่แต่ละคนทำ แล้วกัดฟันลงสมัครเถอะครับ ได้ความรู้ ได้คอนเน็คชั่นที่ต่อยอดได้ ได้ใบเบิกทางไปสู่ความก้าวหน้าในสายอาชีพ เรียนแบบไม่ต้องลาออกจากงานประจำนะครับ เรียนควบไปตอนเย็นหรือไม่ก็วันเสาร์อาทิตย์นี่แหละ ทนเหนื่อย 2 ปีเอาหน่อยแต่คุ้มครับ
2. ฝึกทักษะทางภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษต้องแน่น เท่าที่ผมสังเกตจากการทำงานในหลาย ๆ บริษัทของตัวเอง ทั้งบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติ ใช้การสื่อสารทางอีเมลเป็นภาษาอังกฤษหมดแล้วครับ แม้ว่าในวงสนทนาจะมีแต่คนไทยทั้งหมดก็เถอะ เพราะฉะนั้นทักษะนี้จำเป็นมากครับ คงเสียดายน่าดูถ้าเราทำงานเก่งกว่าเพื่อนร่วมงาน แต่มันดันได้โปรโมทเฉยเลย เพราะภาษาอังกฤษดีกว่า เพราะฉะนั้นลุยเลยครับ เข้าหลักสูตรเทรนนิ่ง ดูหนัง ฟังเพลง ฝึกตัวเอง แล้วไปสอบโทอิคให้ได้สัก 800 เอาผลมายื่นแนบไปกับการสมัครงานด้วย ช่วยได้เยอะครับ
3. เลือกบริษัท "มหาชน" หรือบริษัทที่มีชื่อเสียง
ถ้ามีโอกาสในการย้ายงาน หรืออยากจะเปลี่ยนงานใหม่ อยากให้มองไปที่บริษัทดัง ๆ ทั้งหลายเป็นอันดับแรกครับ มันช่วยเรื่องเครดิตในการทำงานของเราได้มากเลย ยิ่งถ้าเคยผ่านงานจากบริษัทมหาชนข้ามชาติ ที่มีพนักงานรวมเป็นพัน หรือมีชื่อเสียงโดดเด่น มันก็เป็นการการันตีเราได้ระดับหนึ่งแล้วครับ ว่าไอ้นี่มีของ หรือถ้าอยู่บริษัทที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว ให้มองไปยังบริษัทคู่แข่ง หรือบริษัทที่อยู่ในอันดับเหนือกว่าเราครับ จะจ่ายค่าตัวเราได้มากกว่าและมีโอกาสได้งานสูงถ้าย้ายไป (แน่นอนว่าในเชิงจรรยาบรรณ ไม่เวิร์กครับ แต่เรากำลังพูดถึงวิธีสร้างรายได้ และบังเอิญว่าวิธีนี้มันเวิร์กมาก ๆ ครับ)
4. เปลี่ยนงานถ้ามีโอกาส
ถ้ามีความสุขดีอยู่แล้วในที่ทำงานเดิม ให้รีบหาสมัครงานที่ใหม่นะครับ อย่าหาสมัครตอนที่ตัวเองเป็นทุกข์กับงานที่ทำแล้ว เพราะถ้าเราผลงานดี มีความสุข มีโอกาสสูงมากที่จะโดน Counter Offer กลับจากบริษัทเดิม (เผลอ ๆ จ่ายมากกว่าบริษัทใหม่ที่เราได้งานอีก) ขณะที่คนที่อยากจะเปลี่ยนงานอยู่แล้ว อย่าแสดงความกระเหี้ยนกระหือรือด้วยการสมัครงานแบบหว่านไปทั่วครับ สิ่งที่ควรทำสวย ๆ คือสร้างโปรไฟล์ใน Linked In และเว็บฝากงานทั้งหลาย (ตระกูล Job นำหน้านี่แหละ) รวมถึงฝากประวัติไว้กับบริษัท Head Hunter หรือบริษัทจัดหางานทั้งหลาย ให้เค้าเป็นคนสนใจประวัติ แล้วเรียกเราไปสัมภาษณ์เอง ปัญหาการเปลี่ยนงานหลายที่จะหมดไปครับ ถ้าเราบอกได้ว่าเราไม่ได้เป็นคนสมัครงานไปเองเลยสักแห่ง แต่บริษัทเหล่านั้นโทรเรียกตัวเราไปเอง ด้วยเล็งเห็นถึงศักยภาพที่เรามี และเราไม่ปิดโอกาสในการเจริญเติบโต ก้าวหน้าท้าทาย ซึ่งเป็นคำตอบที่ดูดีมาก ๆ ครับ (ปัจจุบัน งานในบริษัทที่ผมเพิ่งเซ็นสัญญาด้วยล่าสุด เป็นบริษัทที่ 11 ในชีวิตครับ)
5. ย้ายงานก่อนโบนัสออก มีโอกาสได้งานมากกว่า
ดูเป็นคำแนะนำที่ประหลาดนะครับ แต่ถ้าเราอยากได้ค่าตัวสูง ๆ ในส่วนของเงินเดือน เราควรหางานหรือสมัครงาน ช่วงที่ตลาดงานไม่คึกคัก คนเปลี่ยนงานน้อย เมื่อคู่แข่งน้อย เราย่อมมีโอกาสถูกเรียกมากขึ้นและขอเงินเดือนได้สูงขึ้น โดยอ้างเหตุผลเรื่องโบนัสของที่เก่าเอาได้ด้วย หรือถ้าย้ายงานหลังจากได้โบนัสไปแล้ว ต้องมั่นใจและพร้อมรับมือกับกองทัพคู่แข่งที่ย้ายงานด้วยเหมือนกันนะครับ (ผมแนะนำช่วง Q3 - Q4 ของปีครับ มีโอกาสเยอะกว่า)
6. ทำ Resume เจ๋ง ๆ
ภาษาอังกฤษเท่านั้นนะครับ ใส่ไปเลยครับ ว่าทำอะไรได้บ้าง ลงรายละเอียดงานเยอะ ๆ เน้นความเป็นทางการดีที่สุดครับ เพราะบริษัทส่วนใหญ่ยังยึดวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่มาก ไม่ต้องบอกแค่ตำแหน่ง เพราะยังไงเค้าก็ถามเงินเดือนอยู่ดีตอนโทรมานัดสัมภาษณ์ เพราะฉะนั้น เงินเดือนปัจจุบันเท่าไร อยากได้เท่าไร ทะเยอทะยานไปเลยครับ เรียกสัก 15 - 20% เป็นขั้นต่ำ และที่สำคัญคือรูปต้องดูดีครับ ฝรั่งอาจจะไม่ถือ แต่คนไทยนี่บอกเลยตัดสินความเก่ง ความฉลาดกันจากหน้าตาและเครื่องแต่งกายในรูปถ่าย เพราะฉะนั้นลงทุนกับรูปตัวเองนิดนึงครับ เอาให้ดูเป็นมืออาชีพให้มากที่สุด
7. พัฒนาตัวเอง
เราไม่สามารถกระโดดไปได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่ฝึกการกระโดดให้สูงขึ้นครับ ทุกครั้งที่เริ่มงานใหม่ ทำงานใหม่ เราต้องใส่ใจในการทำงานมากกว่าทำให้เสร็จ ๆ ผ่าน ๆ ไป ต้องนำข้อผิดพลาดมาปรับปรุงพัฒนา เรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า ใกล้ชิดหัวหน้างานและผู้บริหารให้ได้มากที่สุด เพื่อซึมซับการตัดสินใจและการคิดวิเคราะห์ของพวกเค้า พยายามเสนอโปรเจคท์ใหม่ ๆ ปรับปรุงระบบในการทำงานเดิมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น และลงทุนกับความรู้ครับ อ่านหนังสือเข้าไป อบรมเข้าไป ทุกปีต้องเก่งขึ้นและฉลาดขึ้นให้ได้ ถ้าทำงานเดิมมาตลอดทั้งปี และดูแนวโน้มว่าปีต่อ ๆ ไปก็คงไม่ได้ทำอะไรท้าทายความรู้ความสามารถ แนะนำให้เปลี่ยนงานด่วน ๆ นะครับ
8. อย่าทิ้งข่าวสารบ้านเมือง
ความบันเทิงในชีวิตเป็นสิ่งดีครับ แต่ความบันเทิงไม่ทำให้มนุษย์เงินเดือนได้เงินเพิ่ม อ่านข่าวครับ การเมืองเป็นไง เศรษฐกิจเป็นไง ต่างประเทศเป็นไง เทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นไง พวกผู้ใหญ่ในองค์กรเค้าชอบเรื่องพวกนี้กัน ใครคุยกับเค้าได้ มีทัศนะโต้ตอบกับเค้าได้ รับรองว่าไปได้ไกลครับ อีกอย่างคือมันดีกับตัวเองตอนไปสัมภาษณ์งานด้วย ดูเป็นคนรู้รอบ ทำธุรกิจเองด้วยก็เห็นทิศทางชัดเจน หรือจะลงทุนกับกองทุนไหน อะไรอย่างไร ก็เสี่ยงน้อยลงครับ
9. เชื่อมโยงให้เป็น สติอย่าหลุด คาดการณ์ล่วงหน้าให้ได้ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
เอามาใส่รวม ๆ เลยครับ พวกทักษะที่จำเป็นสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต เอาง่าย ๆ เลยครับ เคยเห็นไหมพวกที่ต้องแสตมป์บัตรจอดรถตรงทางออกจากห้าง แล้วขับมาถึงเคาน์เตอร์แล้วเพิ่งจะหาบัตรจอดรถว่าเอาไว้ตรงไหน หรือพวกที่รู้อยู่แล้วว่าบิลค่าบัตรเครดิต ค่าน้ำไฟ ค่าโทรศัพท์จะตัดวันไหน แต่ต้องมารอจนถึงวันสุดท้ายแล้ววิ่งตาลีตาเหลือกไปจ่าย อย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับชีวิตมนุษย์เงินเดือนครับ มีสติรู้ว่าแต่ละวันจะทำอะไร มีอะไรจะเกิดขึ้นวันนี้บ้าง สำรวจว่าเราเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง มิวินัยในตัวเองครับ อย่าปล่อยให้หลุดเด็ดขาด บริษัทใหญ่ ๆ จ้องเชือดตอนประเมินผลปลายปีเยอะครับ
ทั้งหมดทั้งมวล ก็ประมาณนี้เลยครับ ผมเน้นย้ำนะครับ ผมไม่ได้พูดถึงความสุขในการทำงาน, เพื่อนร่วมงาน, การเดินทางไปทำงาน, ความเครียดในงาน หรือความชอบในงานเลย เพราะอันนี้ว่ากันด้วยเรื่องหนทางไปสู่การได้รายได้เยอะ ๆ ในฐานะมนุษย์เงินเดือนล้วน ๆ (แต่ก็จากประสบการณ์ตัวเองอีกนั่นแหละ ว่ายิ่งย้ายไปอยู่บริษัทที่มีคุณภาพ ทั้งคุณภาพชีวิตของเราเองและความสุขของเราเองก็ยิ่งมากขึ้น เพราะงานเป็นระบบกว่า เพื่อนร่วมงานงี่เง่าเอาแต่ใจน้อยกว่า คนในองค์กรมืออาชีพมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการแข่งขันที่สูงกว่านั่นเองครับ)
INSURANCETHAI.NET