ประสบการณ์ฟ้องร้องคดีบอกเลิกสัญญาคอนโดสร้างเสร็จล่าช้า
98
ประสบการณ์ฟ้องร้องคดีบอกเลิกสัญญาคอนโดสร้างเสร็จล่าช้า
ขอไม่เอ่ยชื่อคอนโดนะคะ เพื่อไม่ให้ทางคอนโดเสียหาย เนื่องจากคดีสิ้นสุดแล้ว และได้ข่าวว่าคอนโดสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ห้องสวยมาก เริ่มเลย
ตอนที่เราทำงานอยู่กรุงเทพฯ เราได้เช่าอพาร์ตเม้นต์อยู่มาหลายปี และคิดว่าควรจะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองซะที จึงได้ไปตระเวนดูคอนโดหลายๆแห่ง
จนไปเจอคอนโดแห่งนี้ ที่เราถูกใจทุกอย่าง ทั้งทำเล แบบห้อง ติดถนนใหญ่ ความสะดวกสบายในการเดินทาง แต่ตอนที่เราเข้าไปดู ยังเป็นโครงอยู่ ไม่เป็นรูปเป็นร่าง ตอนนั้นก็คิดหนักเหมือนกันว่าจะซื้อคอนโดที่เรายังไม่เห็นตัวตึกเนี่ยเหรอ แต่ด้วยความที่ห้องตัวอย่างสวยมาก การวางผังห้องดูลงตัวและวัสดุที่ใช้ในห้องตัวอย่างก็ดูดีมีราคา บวกกับเซลล์และผู้จัดการพูดจาดีมาก และเค้ารับรองว่า ห้องจริงจะเหมือนห้องตัวอย่างเป๊ะ อะไรที่ให้ได้ ให้ไม่ได้ เค้าก็บอกตรงๆ ทำให้เราตัดสินใจจ่ายเงินจองไป หลังจากนั้นอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็นัดทำสัญญาจะซื้อจะขาย เราก็ได้จ่ายเงินค่าทำสัญญาอีกจำนวนหนึ่ง
ห้องที่เราซื้อราคาประมาณสองล้านสี่แสนบาท เนื้อที่ประมาณ 45 ตรม. ซึ่งเป็นห้องชุดค่ะ คือรวมเฟอร์นิเจอร์ การตกแต่งห้องเหมือนห้องตัวอย่าง ยกเว้นวัสดุบางรายการที่ไม่เหมือน เพราะห้องตัวอย่างใช้วัสดุดีราคาแพง ซึ่งถ้าให้ตามนั้น ราคาห้องจะสูงกว่านี้ เราก็เลยโอเค ก็รับเงื่อนไขที่ทางคอนโดแจ้งทุกอย่าง ในสัญญาระบุว่าคอนโดจะสร้างเสร็จพร้อมโอนในเดือน มิ.ย. 54 ซึ่งเราต้องผ่อนดาวน์ทั้งหมด 18 งวด ตอนนั้นเราก็ถามกับผู้จัดการว่า คอนโดจะเสร็จทันเหรอ เค้ายืนยันว่าทันแน่นอน เราก็ อืมมม เทคโนโลยีสมัยนี้ คงทันน่า แบบยกมาตั้งๆ แป๊บเดียวเสร็จ ประมาณนั้น เราก็เลยผ่อนดาวน์มาเรื่อยๆ ระหว่างผ่อนดาวน์ เราก็ผ่านไปดูความคืบหน้าเป็นระยะๆ มีตัวตึกเริ่มสร้างแล้ว แต่มันมีแต่โครง ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเลย เริ่มใจไม่ดีละ แต่ก็ยังผ่อนดาวน์ต่อไป เพราะกลัวว่า ถ้าหยุดกลางคัน เราจะกลายเป็นคนผิดสัญญา
จนกระทั่งเราผ่อนดาวน์งวดสุดท้ายหมด คือ เดือน พ.ค. 54 คอนโดก็ยังอยู่กับที่ คือ ไม่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างเลย เราเริ่มไม่อยากได้แล้ว เพราะทางคอนโดเองก็ไม่มีหนังสือหรืออะไรแจ้งเลย พอครบกำหนดที่ต้องโอนในเดือน มิ.ย.54 ก็ยังเงียบ เราเข้าไปคุยที่สำนักงานขาย เซลล์ที่เคยขายให้เราก็ลาออกไปแล้ว มีเซลล์ใหม่มา ซึ่งตอบอะไรไม่ได้เลย แล้วก็ไม่มีผู้มีอำนาจตัดสินใจมาตอบคำถามใดๆ ตอนนั้นเราก็ปรึกษาคนนั้นคนนี้ว่าจะทำยังไง บางคนก็บอกว่า ให้ขายดาวน์ แต่เราคิดว่า ทำไมเราต้องขายดาวน์ มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา ทำไมเราต้องจัดการเอง บริษัทสิที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ให้เราหาทางแก้ปัญหาเอาเอง แล้วอีกอย่างคอนโดยังไม่ไปถึงไหน ประกาศขายดาวน์ไป ใครจะซื้อ หรือมีคนซื้อแต่เค้าก็ต้องกังวลเหมือนเรานี่ล่ะ
เราจึงตัดสินใจว่า เราไม่เอาแล้ว เพราะไม่มีการแจ้งอะไรใดๆทั้งสิ้น เงียบมาก ประมาณเดือน ก.ค. 54 เราได้ทำหนังสือทวงถามความคืบหน้าไปหนึ่งฉบับ โดยเขียนรายละเอียดความเสียหายและเสียโอกาสต่างๆที่เราได้รับและต้องการให้ทางคอนโดชดใช้ให้เราตามเงื่อนไขที่เราต้องการ เราเอาหนังสือไปยืนที่สำนักงานขาย พร้อมให้เซลล์เซ็นรับ เพื่อที่เราจะได้มีหลักฐานว่า ทางคอนโดได้รับเรื่องของเราแล้วนะ จะปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้
ผ่านไปประมาณสองสัปดาห์ เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับหรือการติดต่อใดๆจากคอนโด เราจึงได้ทำหนังสือบอกเลิกสัญญาในที่สุด แล้วเอาไปยืนที่สำนักงานขายเหมือนเดิม ให้เซลล์เซ็นรับ เพื่อเป็นหลักฐาน ที่เราไม่ส่งไปรษณีย์ไปที่บริษัทโดยตรง เพราะเราไม่แน่ใจว่า จดหมายเราจะถึงหรือเปล่า แล้วตอนที่เราทำสัญญา เราทำที่สำนักงานขาย เราจึงบอกเลิกสัญญาที่สำนักงานขายเช่นกัน ในหนังสือบอกเลิกสัญญา เราระบุว่า เราขอเงินคืนทั้งหมดที่เราได้จ่ายไปแล้ว ภายใน 60 วัน หากพ้นกำหนด เราจะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ที่จริงในสัญญาจะซื้อจะขายระบุว่า ให้คิดดอกเบี้ยได้สูงสุดร้อยละ 15 ต่อปี เลยนะ แต่ตอนนั้นเราคิดแค่ว่า แค่ได้เงินต้นคืนก็หรูแล้ว ดอกบ้งดอกเบี้ยเราไม่หวังหรอก
จนเวลาผ่านไปครบ 60 วัน เงียบ ไม่มีการติดต่อใดๆจากทางคอนโดเลย ประมาณต้นปี 55 เราจึงรวบรวมหลักฐานทั้งหมด ยื่นต่อ สคบ. เพื่อให้ดำเนินการให้เรา เมื่อ สคบ. ได้รับเรื่อง ไม่นาน ทาง สคบ. ก็ได้มีหนังสือเรียกทั้งสองฝ่ายให้ไปไกล่เกลี่ย
ครั้งแรก เราลางานไปนั่งรอตั้งนาน ทางคอนโดไม่ไป เสียเวลามาก หงุดหงิด สคบ. จึงออกหนังสือนัดครั้งที่สองประมาณกลางปี เราก็ลางานไป คราวนี้ทางคอนโดส่งทนายความมาเป็นตัวแทนบริษัท พอเรารู้ว่าเป็นตัวแทนของทางคอนโดนะ เราแทบอยากจะชกหน้าเลย โทษฐานทำให้เสียเวลาและดื้อด้านไม่ติดต่อ ไม่แจ้งอะไรใดๆทั้งสิ้น มันน่าโมโหมาก เราบอกว่า คอนโดคุณไม่มีความจริงใจให้ลูกค้าเลย ตอนอยากจะขายพูดจาดีสารพัด พอตอนนี้เงียบหาย ไม่ติดต่อ ไม่แจ้ง ไม่บอกอะไรทั้งสิ้น คุณไม่ใส่ใจลูกค้าเลย ตัวแทนบริษัทก็บอกว่า เป็นช่วงที่บริษัทเปลี่ยนผู้บริหาร จึงทำให้ทุกอย่างล่าช้า เราเลยบอก นั่นมันปัญหาภายในของบริษัทคุณ แต่ยังไงคุณก็ต้องดูแลลูกค้า ไม่ใช่เงียบหาย คอนโดคุณน่ะ สวยนะ ก่อสร้างดีด้วย ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากได้ แต่ทางคอนโดไม่เคยติดต่ออะไรมาเลย ไม่มีความจริงใจในการขายเลย โทรไปถามก็เงียบ ไม่เคยได้คำตอบ เราเลยไม่อยากได้แล้ว อยากเอาเงินที่จ่ายไปทั้งหมดคืน ทางทนายเค้าก็บอกว่า รู้ตัวว่าทางเค้าผิด และไม่คิดจะต่อรองอะไร ยินดีให้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย แต่ว่าก่อนอื่น ทางคอนโดต้องทำหนังสือแจ้งความคืบหน้าของโครงการแก่ลูกค้าก่อน เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจอีกทีว่า จะยังอยากได้คอนโดอยู่มั๊ย หากลูกค้ายืนยันว่าไม่อยากได้ ทางคอนโดจะคืนเงินให้ไม่เกินสิ้นปี 55 เราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยละ อย่างน้อยๆก็ยังมีหวังอยู่บ้าง หลังจากไกล่เกลี่ยเสร็จ ทาง สคบ. ก็บันทึกทุกอย่างไว้เป็นหลักฐาน ให้ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่ายแล้วก็ให้สำเนาไว้คนละฉบับ
จากการไกล่เกลี่ยครั้งนั้น เราก็รอๆๆ จนกระทั่งประมาณ ต.ค. 55 ก็มีหนังสือแจ้งความคืบหน้าส่งมาให้ดูพร้อมรูปถ่ายของคอนโดว่าสร้างใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว หากลูกค้ายังต้องการคอนโดก็ให้ตอบกลับไป คือในหนังสือเค้าจะมีช่องให้ติ๊กว่า ต้องการห้องชุด กับอื่นๆ เราก็ติ๊กช่องอื่นๆ แล้วก็ระบุเหตุผลว่า เราไม่ต้องการห้องชุดและยืนยันตามหนังสือบอกเลิกสัญญาลงวันที่…. แล้วเราก็ถ่ายเอกสารเก็บไว้ ก่อนส่งกลับบริษัทค่ะ
หลังจากนั้นก็เงียบๆๆๆ เราโทรไปถามความคืบหน้าที่บริษัท ก็หลบเลี่ยงตลอด ไม่มีคนรับสายบ้าง บอกว่าไม่รู้เรื่องบ้าง เจ้านายไม่อยู่บ้าง ติดประชุมบ้าง บอกตรงๆว่า โมโหมาก หงุดหงิด อารมณ์เสีย เราเลยโทรถาม สคบ. ว่าถ้าบริษัทไม่ยอมคืนเงินตามที่ตกลงกัน ทาง สคบ. จะทำอย่างไรต่อไป สคบ. บอกว่า ก็ต้องทำเรื่องส่งฟ้องศาลต่อไป แต่ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานมาก เพราะมีคดีเยอะ ต้องตามคิว อาจจะต้องรอถึงสามปีเลย ถ้าไม่อยากรอจะยื่นฟ้องเองก็ได้ โดยสามารถใช้ทนายฟรีได้เพราะเป็นคดีผู้บริโภค แต่ต้องไปดำเนินเรื่องที่ศาลเองทั้งหมด
ตอนปลายปี 55 เราแต่งงาน และเราจะต้องย้ายตามสามีไปอยู่ต่างประเทศภายในปี 56 ตอนนั้นเริ่มคิดว่า ถ้ารอ สคบ.ส่งฟ้อง ไม่ทันแน่ เรารอไม่ได้ เราเลยเข้าไปที่ สคบ. อีกครั้งเพื่อแจ้งว่าเราจะยื่นฟ้องเอง สคบ. เลยยกเลิกเรื่องรอฟ้องของเราค่ะ
เราจ้างทนายความของบริษัทที่เราทำงานอยู่ เพราะรู้จักกันอยู่แล้ว โดยเค้าคิดค่าทนายประมาณ 10% ของยอดหนี้ เราเอาหลักฐานทั้งหมดถ่ายเอกสารให้เค้า เราบอกว่า เราอยากให้ศาลตัดสินเร็วที่สุด เพราะเราไม่มีเวลารอ เราต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ทนายความก็ทำสำนวนฟ้อง โดยขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย แล้วให้เราตรวจสอบความถูกต้อง เซ็นต์ชื่อ แล้วไปยื่นที่ศาล แล้วก็มาแจ้งเราว่า ศาลจะเรียกตัดสินคดีความได้เร็วที่สุดภายในสองเดือน เราก็โอเค เพราะภายในสองเดือน เรายังทำงานอยู่ เรารอจนถึงเวลาที่ศาลนัดตัดสินคดี เราไปขึ้นศาลพร้อมทนาย เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ขึ้นศาล ฮ่า เห็นแต่ในหนัง อ่อ ขึ้นศาลเป็นอย่างนี้นี่เอง
แต่ปรากฏว่ารอเป็นชั่วโมง คู่กรณีก็ไม่มา ศาลจึงตัดสินให้เราชนะโดยปริยาย แต่ศาลตัดสินให้คิดดอกเบี้ยแค่ร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่ระบุในหนังสือบอกเลิกสัญญาของเรา ( รู้งี้เขียนไป 15% ดีกว่า ) แล้วผู้พิพากษาท่านก็ถามว่าจะย้ายไปต่างประเทศเมื่อไหร่ เราบอกว่าประมาณกลางปีค่ะ ท่านเลยบอกว่า งั้นก็ต้องรีบให้ทนายไปทำเรื่องที่กรมบังคับคดีให้เร็วที่สุด หลังจากศาลตัดสิน เราต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความเป็นคนดำเนินการแทนทั้งหมด ยกเว้นการรับเงิน
จนกระทั่งเราย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เราก็ยังติดต่อกับทนายความทางอีเมล์เรื่อยๆ ทนายก็แจ้งความคืบหน้าว่าไปถึงไหนแล้ว ช่วงแรกๆทนายถามเราว่า รู้อะไรเกี่ยวกับทรัพย์สินของบริษัทบ้าง เราบอก ไม่รู้อะไรเลย เพราะเราเป็นแค่ลูกค้าคอนโด ไม่ได้ติดต่อกับบริษัทเค้าโดยตรง ทนายบอกว่า ต้องหาให้ได้ว่า บริษัทเค้ามีทรัพย์สินอะไรยังไง จะได้ทำการยึดทรัพย์ได้ ระหว่างนี้เราก็ให้น้องสาวเราที่อยู่ไทย ให้ช่วยประสานงานกับทนายด้วย จนทนายความเมล์มาบอกว่า ทางกรมบังคดีสามารถอายัดบัญชีธนาคารของบริษัทได้แล้ว และสามารถเอาเงินคืนมาได้ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยด้วย โอ้ยยย ตอนนั้นดีใจแทบจะกระโดดเลย ในที่สุดสิ่งที่เรารอมานานก็สำเร็จ รู้สึกโล่งเลย กรมบังคับคดีเค้าเก่งแฮะ สืบจนรู้ว่าบริษัทมีบัญชีกับธนาคารอะไร แล้วก็อายัดบัญชีได้ แต่ทนายบอกว่า กรมบังคับคดียังจ่ายไม่ได้เพราะต้องรอตรวจสอบอะไรหลายอย่างและต้องรอศาลสั่ง เราก็เลยได้แต่รอๆๆ จนเราให้น้องสาวไปติดต่อที่กรมบังคดีเอง ว่าจะสามารถรับเงินคืนได้เมื่อไหร่ กรมบังคดีบอกว่าให้รอหนังสือแจ้ง รออีกละ แล้วในที่สุดก็มีหนังสือจากกรมบังคับคดีแจ้งว่าให้ไปตรวจสอบและรับเงินคืนได้แล้ว ดีใจสุดๆเลยค่ะ เราก็ให้น้องสาวนำเอกสารหลักฐานไปรับเงินที่กรมบังคดี และตอนนี้เราได้เงินคืนเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้ว จำนวนเงินทั้งสิ้น 420,000 กว่าบาท จากเงินต้น 350,000 กว่าบาท ที่เหลือคือดอกเบี้ยค่ะ นับจากวันที่บอกเลิกสัญญาก็ประมาณสามปีกว่า เฮ่อออ จบสิ้นซะที
อยากให้คนที่มีปัญหาแบบเรา ฟ้องค่ะ อย่ารอ อย่านิ่งเฉย อย่าให้เค้าเอาเปรียบ เอกสารทุกอย่างเก็บไว้เป็นหลักฐาน อย่าทิ้ง เพราะมีประโยชน์มากในการยื่นฟ้องศาลค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเจอปัญหานะคะ หากใครที่ฟ้องร้องอยู่ขอให้ชนะคดี และได้เงินคืนโดยเร็วค่ะ ^^
ิัby ShiNyShadoWy
http://pantip.com/topic/32589034
INSURANCETHAI.NET