แชร์ประสบการณ์ การเรียกค่าชดเชยระหว่างซ่อม (ที่นานมาก)
[เอามาจากกระทู้พันทิปนะ เห็นว่ามีประโยชน์ มีเวลาจะปรับข้อความให้กระชับ เพื่ออ่านง่าย หรือสามารถอ่านต้นฉบับได้จาก url ด้าล่าง]
วันเกิดเหตุและที่สถานีตำรวจ
เกิดเหตุ พฤษภาคม 59 ประมาณ 3 ทุ่ม เราขับรถ Ford Fiesta (ที่ชื่อเสียดังๆนั้นแหล่ะ)
เห็นไฟเขียวแต่ไกล เราก็ค่อยๆขับ แล้วก็เลี้ยวขวา จากนั้นก็ตู้ม รถหมุนติ้ว
รถคู่กรณี Isuzu Dmax ไปจอดตายห่างจากเราประมาณ 300 เมตร
สภาพรถเราก็ตามรูป (ชนด้านข้างอย่างแรงแบบนี้ ถ้าไม่ใช่ Ford ไม่น่าจะแค่นี้)
รถคู่กรณี
คู่กรณีไม่บาดเจ็บใดๆ ส่วนเราเลือดอาบหน้า มีคิ้วแตก เล็กน้อย ได้ถุงลมและเข็มขัดช่วยไว้ได้เยอะ
เราถูกนำส่งโรงพยาบาล ส่วนคู่กรณีไปให้ปากคำที่ สน. ระหว่างที่เราทำแผลอยู่
ตำรวจก็โทรมาแจ้งว่า เราเป็นฝ่ายผิด เพราะทางคู่กรณีแจ้งว่า เวลานั้นสัญญาณไฟจราจรปิดแล้ว
เราเลี้ยวขวา เค้าตรงมา เค้าถูก และเรียกร้องค่าเสียหาย บลาๆๆๆ
เราทำแผลเสร็จก็รีบไป สน. พร้อมกับกล้องติดรถยนต์ ทั้งๆที่ยังไม่เปิดดู เพราะเชื่อว่าเราถูกแน่ๆ
พอเปิดให้ดูก็เท่านั้น ทางคู่กรณีไม่ขอพูดอะไรต่ออีก บอกให้ไปคุยกับประกันเอง ตำรวจนัดมาสรุปสำนวนให้อีกวันนึง
วันต่อมาตำรวจจับคู่กรณีปรับไป 400 บาทถ้วนข้อหา ขับรถโดยประมาท ทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์
ตำรวจถามว่าเราจะฟ้องอาญาหรือไม่?
*** เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดมากๆ ที่เราเลือกตอบว่า จะไม่ฟ้องอาญา เพราะตอนนั้นในใจคิดว่า
เราแค่คิ้วแตกเล็กน้อย คดีอาญามันยอมความไม่ได้ และต้องมาขึ้นโรงขึ้นศาลอีกเป็นปี
น่าจะวุ่นน่าดู กลางวันเราเลี้ยงลูกเองคนเดียวด้วย เลยตัดปัญหาว่าไม่ฟ้องอาญา
แต่ยังเลือกที่บอกว่าอาจจะฟ้องแพ่ง ซึ่งมารู้ทีหลังมาการฟ้องแพ่งแทบจะไม่ได้ไม่คุ้มอะไรเลย
เหมือนเป็นการเรียกไกล่เกลียมากกว่า
ดังนั้น ถ้าคุณเป็นผู้เสียหาย ควรจะติดเรื่องฟ้องอาญาไว้ด้วย
จะคุยว่าจะฟ้องจริงหรือยังไงว่าทีหลังค่อยคิดได้
แต่เลือกไม่ฟ้องทุกอย่างที่จะเอาผิดที่ผู้ละเมิด แทบจะไมได้เลย
จากนั้นตำรวจออกใบพิจารณาคดี ให้เราและคู่กรณีเซ็น เนื้อหาให้เราใส่ไปด้วยว่า
ข้าวของในรถที่เสียหายไปมีอะไรบ้าง เพื่อเป็นหลักฐานที่จะขอค่าทรัพย์สินได้
ของเรามี พวก คาร์ซีท กล้องติดรถยนต์ เครื่องปั้มนมแม่ จีพีเอสนำทาง และอื่นๆ
หลังจากนี้ก็ไม่พบเจอกับคู่กรณีอีกเลย เพราะบล๊อคเบอร์หรือเปลี่ยนเบอร์ไปแล้วเรียบร้อย
และถึงตามได้ คดีแพ่งก็ไม่ช่วยอะไรมาก เรื่องหลังจากนี้เป็นเรื่องของประกัน
เพราะคู่กรณีทำประกันชั้นหนึ่งเหมือนกัน ทำให้ประกันคู่กรณีจะเป็นตัวแทนทั้งหมดของผู้ละเมิด
เรื่องลากรถไป สน. และอู่ เรื่องนี้ไม่รู้ว่าเป็นบริการเสริมช่วยเหลือของตำรวจหรือป่าวก็ไม่แน่ใจ
เนื่องจากเราทำประกัน Ford Roadside ไว้ทำให้ลากรถฟรี แต่เวลานั้นมันก็ไม่ว่าง
จะคิดโทรตามอ่ะนะ ตำรวจก็จัดแจงเรียกรถลากให้ไป สน. และจาก สน. ไปอู่
แล้วไปจ่ายเงินที่ตำรวจ 2500 บาท ตำรวจแจ้งว่าจ่ายให้แล้ว พร้อมให้ใบเสร็จมา ซึ่งใบเสร็จนี้ไปเบิกประกันเราได้
เรียกร้องค่าทรัพย์สินที่เสียหายในรถ
เราเป็นฝ่ายถูก เราสามารถเรียกร้องค่าเสียหายของสิ่งของในรถกับ บริษัทประกันคู่กรณีได้ด้วย
ในกรณีของผมมีสิ่งของในรถเสียหายไปประมาณ เกือบๆ5หมื่นบาท พวกกล้อง
กล้องติดรถยนต์ จีพีเอส เครื่องปั้มนมแม่ คาร์ซีท ฯลฯ ติดต่อไปที่ประกันคู่กรณี
แล้วเค้าจะส่งเรื่องไปที่ ฝ่ายสินไหมทดแทน ประจำส่วนภูมิภาคนั้นๆ ให้เป็นคนดำเนินเรื่อง
เค้าก็จะให้เรา ส่งเอกสารพวกประกันต่างๆทั้งฃองเราและคู่กรณี และเอกสารส่วนตัว
บัตรประชาชน และหน้าบุคแบ๊งค์ และที่สำคัญคือ รูปของที่เสียหาย อย่างละเอียด
ว่าอะไรในรถเสียหายไปบ้าง เป็นหลักฐานขอค่าเสียหาย ส่วนตัวก็ถ่ายตามความจริง
รูปจริงราคาจริงแจ้งไป คิดเองว่าตุกติกมาก เดี๋ยวเค้าขอของจริงจะวุ่น
ประมาณเดือนนึงก็ติดต่อมา ว่าให้ได้น้อยกว่าที่เรียกร้องไป 2 หมื่น
ให้เหตุผลว่าหักค่าเสื่อมบลาๆ จุดๆนี้ไม่อยากวุ่นวายเรียกมากว่านี้ เลยรับไป
แต่เค้าเมลล์มาให้เขียนหนังสือสลักบนสำเนาบัตรประชาชนเพื่อรับเงินว่า
“ข้าพเจ้า … เป็นเจ้าของทรัพย์สิน ได้ถูกรถยนต์ซึ่งทำประกันภัยไว้กับ
บมจ.สสประกันภัย เฉี่ยวชนทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย ได้ตกลงยุติค่าทรัพย์สิน
เป็นเงิน xxxxx บาท และเมื่อได้รับการชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ขอระงับข้อพิพาทไม่ติดใจ
เรียกร้องค่าเสียหายอื่นใด ทั้งทางแพ่งและทางอาญา โดยให้บริษัทฯ ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชี”
เห็นข้อความที่ให้เราเขียนมันตะหงิดๆตรง…
“ขอระงับข้อพิพาทไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายอื่นใด ทั้งทางแพ่งและทางอาญา”
เพราะเรายังต้องเรียกค่าขาดประโยชน์อีก เมื่อรถซ่อมเสร็จ แต่ให้เราเขียนแบบนี้ก็เหมือน
ปิดประตูตัวเองเลย เราเลยเขียนไปอีกอย่างที่ความหมายครบถ้วนแต่ปลอดภัยเรามากกว่า
และแน่นอนเค้าก็มีเมลล์ตอบเราว่าเขียนไม่เหมือนแต่เรายืนยันว่าเขียนครบถูกต้อง
เค้าก็ไม่ได้อะไร ก็โอนเงินมาให้ครบถ้วน
อู่และการซ่อมที่ยาวนานของ Ford Fiesta
เนื่องจากเราทำประกันเบี้ยซ่อมอู่ไว้ เพิ่งเปลี่ยนเองก่อนหน้านี้ใช้ประกันศูนย์มาตลอด
แต่เห็นว่า เราอยู่ต่างจังหวัด ศูนย์ฟอร์ดที่ใกล้ที่สุดที่ซ่อมสีทำตัวถังได้ ห่างไป 300 โล
เราเลยคิดว่าชนไปก็ซ่อมอู่แถวนี้อยู่ดีเลยเปลี่ยนเป็นประกันซ่อมอู่ นั้นทำให้โชคร้ายอีกรอบ
เพราะถ้าทำเบื้ยซ่อมศูนย์ ชนขนาดนี้ ตีเสีย คืนทุนประกัน 450000 ไปแล้ว
ซึ่งคุ้มกว่าซ่อมเสร็จไปขายมือสอง อย่างที่รู้ รถที่ไม่ใช่รถตลาดอย่าง โตหรือฮอน ราคาขายต่อต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
สรุปส่วนตัวแล้ว ถ้าคุณขับรถยี่ห้อที่ไม่ใช่รถตลาด ทำประกันซ่อมศูนย์ไว้ ดีกว่า
เพิ่มเบี้ยไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเสียเยอะขึ้นมา คุ้มตีเสียคืนทุนประกัน มากกว่าขายมือสองแน่ๆ
รถที่ลากเป็นของอู่นี้ เลยลากมาอู่นี้ และประกันเราก็ใช้อู่นี้ได้เลย ก็ไม่คิดมากซ่อมที่นี่เลยก็ได้
แต่ก็ไม่รู้ว่าคิดผิดคิดถูกยังไง เพราะนอกจากจะซ่อมใช้เวลานานมากๆ
ยังมีปัญหาอย่างเอาประตูมือสองคนล่ะสีมาเปลี่ยนให้แล้วจะพ่นสีทับ
และอีกหลายชิ้นที่สภาพที่จะใส่ให้มันรับไม่ได้
แต่พอบอกว่าเปลี่ยนอู่ก็ยอมเปลี่ยนให้โดยดีนะ ไม่อีดออดอะไร
เวลาผ่านไป 7 เดือน 7 วัน (นับวันก็ 220 วัน) ก็เรียกรับรถครั้งแรก มีหลายจุดที่ไม่ผ่าน
และก็มีครั้งที่ 2, 3, 4, 5, 6, 7 และจนถึงครั้งที่ 8 ถึงจะอยู่ในสภาพภายนอกยอมรับได้
แต่ก็ยังมีปัญหา แบตเตอรี่ตายต้องพ่วงตลอด สต๊าทรถติดยากและเครื่องสั่นมากอยู่
ทางอู่แจ้งว่าในใบเครมมีแค่เสียหายตัวถังไม่โดนเครื่อง และเค้าไม่ได้รื้อเครื่องเลยไม่รับผิดชอบต่อ
ให้เราเอาไปเช็คที่ศูนย์ต่อ เราเลยต้องจ่ายเงินเองให้ศูนย์เอาแบตเตอรี่มาเปลี่ยนให้ที่อุ่
พร้อมให้อู่ไปเติมน้ำมันให้ ถึงเอารถออกไปได้ และเราไม่ขับ ให้อู่ขับไปส่งที่ศูนย์ฟอร์ดให้ด้วย
อู่ ศูนย์ฟอร์ด1 บ้าน ศูนย์แก๊ส วนเวียนๆ
ที่ศูนย์ฟอร์ดจังหวัดที่เราอยู่ (ขอย่อว่า ศูนย์ฟอร์ด1) เข้าไปเช็คทั้งระบบ พร้อมเครมชุดครัช
(เจ้าปัญหาที่ดังๆนั้นแหล่ะ) ด้วยเลยทีเดียว สองอาทิตย์ผ่านไป ให้เรามารับรถเช็คคร่าวๆเหมือนจะขับดีขึ้น
แต่อาการสต๊าทไม่ติดยังเจอ ศูนย์ให้ไปเติมน้ำมันให้เต็มถังและเอารถไปเช็คระบบแก๊สต่อ
น่าจะดีขึ้น เอารถมาอยู่บ้าน 2 วัน ก็เอารถไปเช็คที่ศูนย์แก๊ส(จังหวัดข้างๆที่เราติด)
จ่ายค่าเปลี่ยนนู้นนี่ไปอีกนิดหน่อยพันกว่าบาท แต่อาการกลับนักขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก
เครื่องมีอาการสั่นหนัก สต๊าทติดยากขึ้น รอบต่ำดับ เหยียบเบรกรอไฟแดง แล้วเหยียบคันเร่งไม่ไป
ต้องรอรอบ ศูนย์แก๊สแจ้งว่า น่าจะต้องไปให้ศูนย์ running ecu ใหม่ และเปลี่ยน สายหัวเทียน
เป็นอย่างแรก และอาจต้องเปลี่ยน คอยล์จุดระเบิด รวมๆแล้วเป็นหมื่นกว่าบาท
โทรไปเช็คศูนย์บอกว่าไม่มีของ ต้องสั่งยังไม่มีกำหนดของเข้า ต้องรอไม่มีกำหนด
เราขับรถกลับไปที่ ศูนย์ฟอร์ด1ใหม่ เบื่องต้นเช็คแล้วไม่น่าใช่สายหัวเทียน ศูนย์คาดว่าเป็น หัวเทียน
เราเลยให้เปลี่ยนเลย และให้เช็คให้ดีอีกรอบว่าอะไรเสียแน่ หายไป 1 อาทิตย์ ให้เรากลับมารับรถ
แจ้งว่าเป็นที่ ยางอะไรสักอย่างตรงถังน้ำมันมันบิ่นหรือหลวมไม่สนิทนี่แหล่ะ ปกติแล้วให้เอากลับได้
แต่กลับมาบ้านแล้วทิ้งไว้คืนนึงอีกวันก็สต๊าทติดยากมากๆเหมือนเดิม อยู่บ้านได้ เกือบอาทิตย์
ก็ขับรถไป ศูนย์ฟอร์ดจังหวัดข้างๆที่เค้าว่าดี(ย่อเป็น ศูนย์ฟอร์ด2) แจ้งให้เค้าเช็คให้หมดเลย
ว่าอะไรเสียนานแค่ไหนรอได้ รอไป 1 อาทิตย์ ก็โทรมาแจ้งรายการที่ต้องเปลี่ยนอีก 5 รายการ
รวมประมาณ 3 หมื่นบาท
ณ คปภ. ที่พึ่งของคนทำประกันรถยนต์ และการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ที่ยากเย็น
ระหว่างที่เราวิ่งไปวิ่งมาเรื่องซ่อมอยู่นั้น เราก็ไปคุยกับ คปภ.ประจำจังหวัดเรื่องรถเราทั้งหมดให้ฟัง
และแจ้งเรื่องที่เราจะเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถด้วย หอบเอกสารไปทั้งหมด
พวกประกันเรา ประกันคู่กรณี และเอกสารส่วนตัวทั้งของเราและของคู่กรณี
(แนะนำอย่าลืมไปขอกับคนทำเครมประกันเราแต่ต้นๆด้วย) เราแจ้งว่าเราจะทำเอกสารเรียกร้องแบบนี้ๆ
โอเคไหม ที่เราเขียนหลักๆ จะเป็น อะไรเสียหายบ้าง จากเอกสารใบเครม วันเอารถไปซ่อม วันรับรถ
เราเขียนไปด้วยว่า ปกติเราใช้รถไปทำอะไรบ้าง เราใช้ทำธุรกิจส่วนตัว รวมถึงระหว่างซ่อมถ้าเราเช่ารถ
ก็บอกไปด้วยว่าเช่ารถวันล่ะเท่าไหร่ รวมกี่วัน (แนบหนังสือเช่ารถด้วย)
ถ้าใน กทม. ก็คงต้องเป็นค่ารถ taxi ส่วนของที่เราเขียนเรียกค่าสินไหมทนแทน เราเรียกไปวันล่ะ1000
(เพราะเรามีหนังสือเช่ารถ และค่าที่เราขาดใช้รถไป ) จริงๆก็รู้เรทอยู่ว่าประมาณ 300-500 บาท ต่อวัน
(ปกติ ตจว. 300 กทม. 500 ) แต่เราเขียนไปก่อน เพราะบริษัทต้องต่อรองอยู่แล้ว
รวมถึงค่าเสื่อมสภาพของรถที่ถูกชน เราเรียกไป 2 แสน (เผื่อต่อเช่นกัน) เราแจ้งว่ารถเราแค่ 3 ปี
แต่โดนชนหนักขนาดนี้ จากรถราคา เกือบ 7 แสน ขายต่อเหลือไม่ถึง 2.5แสน มันไม่ใช่ที่เราต้องรับภาระส่วนนี้
เอกสารแนวทางการพิจารณาค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ
(ไม่ใช่กฏหมาย หรือข้อบังคับ เป็นแค่ข้อตกลงร่วมกันระหว่าง สมาคมประกันวินาศภัย และ บริษัทประกันภัย)
หลังจากส่งเมลล์หนังสือและเอกสารพวกใบส่งมอบรถและรับรถไป ทางประกันคู่กรณีก็ตอบเมลล์กลับมาว่า
“ทางบริษัทได้พิจาณาเพื่อเป็นการบรรเทาผลให้กับทางท่านเป็นเงิน 13,500 บาท (หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยบาทถ้วน)”
พอเห็นเมล์เท่านั้นแหล่ะ หมดแรง เราเรียกร้องไป สี่แสน กะว่าคงต่อรองเหลือสัก 1 แสน ก็พอแล้ว
กับเวลา 7 เดือนกว่า และที่เราต้องไปซ่อมรถอีกหลายหมื่น แต่ให้มาแค่ หมื่นสามพันห้าร้อยบาท
เราก็โทรไป เค้าแจ้งแค่ว่า เราพิจารณาตามความเหมาะสมดีแล้ว ถ้าไม่พอใจ
“คุณมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้” เพราะมันไม่มีกฏหมายรองรับตรงนี้อยู่แล้วว่าต้องจ่ายเท่าไหร่
พอเราคาดคั้นไปว่าไม่แฟร์เค้าก็บอกว่าผมจะกินข้าว แล้วก็ตัดจบ!
***แก้ไข1 : ที่มาของเอกสารแนวทางการพิจารณาค่าขาดประโยชน์
***เพิ่มเติม : สรุปตอบจบใน comment ที่ 2
จากนั้นเราก็เลยไปคุยกับ คปภ. ให้ช่วยเหลือ แล้วนัดประกันทั้งของเราและคู่กรณีมาคุยที่ คปภ.
นัดเจอครั้งแรก สรุปได้ว่า ประกันเราต้องเอารถเราที่ยังซ่อมแล้วยังมีปัญหาอยู่ไปซ่อม
รถเรายังจอดรอซ่อมอยู่ที่ ศูนย์ฟอร์ด2 ให้เราเอารถกลับมาซ่อมที่อู่
โดยให้อู่ไปรับผิดชอบจัดการซ่อมต่อให้คืนสภาพที่ขับปกติ จากที่ทางศูนย์ลิสต์อะไหล่
ที่ต้องเปลี่ยนให้เปลี่ยนตามที่สมควร และส่วนที่เราจ่ายค่าอะไหล่ไปแล้ว
ให้เอาบิลล์ไปเบิกกับอู่ได้ ณ จุดนี้ประกันเรารับผิดชอบได้ดี ส่วนประกันคู่กรณี
ส่งตัวแทนมาบอกว่าคุยกับหัวหน้าแล้วปรับเงินค่าชดเชยให้เป็น 18000 บาท ให้เรารับเงิน
แต่เราไม่รับเงินจำนวนนี้ คุยต่อรองอยู่นานว่าเวลาซ่อมรถเราโอเวอร์ไป
จริงๆรถไม่น่าซ่อมนานถึง 7 เดือนกว่า ทางประกันเราแจ้งว่าที่นานเพราะ
ติดแบล็คลิสอะไหล่ (อะไหล่ฟอร์ดไม่มี) ต้องรอนาน ทาง ผอ.คปภ เลยถามอู่ว่า
ถ้าซ่อมโดยไม่ติดต้องรถอะไหล่ จะใช้เวลาเท่าไหร่เค้าตอบว่า 4 เดือน
เลยสรุปว่าจะใช้ตัวเลขนี้มาแทนในการเรียกร้องขาดประโยชน์
วันล่ะ500 บาท รวมเป็น 60000 บาท และค่าเสื่อมสภาพรถลดจาก
2 แสนเหลือ 50000 บาท รวมเป็น 110000 บาท ให้ประกันคู่กรณีไปพิจารณาใหม่ตามนี้
อีกสองอาทิตย์มาเจอกันใหม่
นัดเจอครั้งที่สอง (2อาทิตย์ต่อมา) ประกันคู่กรณี แจ้งว่าหัวหน้าเค้าให้มาอีก 6000 บาท
รวมเป็น 24000 บาท และให้เรารับเงินจำนวนนี้ ผอ.คปภ.พยายามต่อรองให้
และเราเองก็ลดจาก 110000 บาทเป็น 90000 บาท ให้ทางนั้นรับไปเสนออีกรอบ
นัดเจอครั้งที่สาม (อีก 2 อาทิตย์ต่อมา) ประกันคู่กรณียังคงยืนยันเงินที่ 24000 บาท
ไม่ขอต่อรองอีก ฝ่าย ผอ.คปภ.ก็ทำได้แค่เพียงเท่านี้ เพราะไม่มีอำนาจบีบบังคับ
ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ ท่านมีอำนาจต่อรองตามหน้าที่เท่านั้น ส่วนตัวแทนประกันก็แค่
มีหน้าที่นำเรื่องมาแจ้งไม่มีสิทธ์ต่อรอง หรือเพิ่มลดใดๆ
หลังจากนี้ถ้าอยากเรียกร้องมากกว่านี้ให้ไปสู้กันใน ศาลอนุญาโต ที่กรุงเทพฯ
หรือศาลแพ่งของจังหวัดเรา ในกรณีของศาลแพ่ง เราได้ไปคุยกับยุติธรรมจังหวัด
เพื่อปรึกษาของกฏหมายมา ได้ความว่า ศาลแพ่งไม่คุ้มใดๆที่จะฟ้องเพราะ
เป็นการไกล่เกลี่ยไม่มีกฏหมายรองรับเรายิ่งเสี่ยงจะได้เพิ่มไม่เท่าไหร่
แถมต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล 2% ค่าทนายอีก 20-40% ยิ่งไม่คุ้มใหญ่
ถามว่าทำไมไม่ใช้ทนายฟรีอนุเคราะห์ เพราะถ้าคุณพิสูจน์ไม่ได้ว่าคุณจนมากๆจริงๆ
ก็ไม่สามารถใช้ทนายอนุเคราะห์ได้ ที่เพิ่งสุดท้ายก็คือ ศาลอนุญาโต ที่กรุงเทพฯ
ซึ่งเรากำลังคิดชั่งใจอยู่ว่าจะคุ้มขึ้นๆลงๆไปกลับ 700 กิโล อีก3-4 รอบอย่างน้อยหรือไม่
ใครเคยขึ้นศาลอนุญาโต บ้างขอความเห็นหน่อยครับ หรือจะจบที่ตรงนี้ดี
หลังจากโพสกระทู้ในพันทิป 2-3 วัน ก็ได้รับติดต่อจาก คปภ. ว่าจะทำการช่วยเหลือต่อ โดยนัดประกันเราและคู่กรณีอีกครั้ง
วันนัดทางประกันคู่กรณีมาไม่ได้ มาแต่ประกันเรา
ประกันคู่กรณ๊โทรมายืนยันตัวเลขตัวเลขเดิม
ส่วนประกันเราจะช่วยเหลือเพิ่มเติมให้ ตามสมควรที่เราเรียกร้อง
ซึ่งส่วนตัวแล้วประกันเราแทบไม่ต้องเกี่ยวแล้ว แค่ซ่อมรถเพิ่มเติมให้กลับมาสภาพปกติ
ในครั้งที่สองก็พอใจมากแล้ว แต่ประกันเรายืนยันจะช่วยเหลือ และนัดประกันทั้งสองฝ่ายอีกครั้งเพื่อจ่ายเงิน
ตอนนี้ผมได้รับเงินช่วยเหลือจากประกันคู่กรณีและประกันทางฝ่ายผมเรียบร้อยแล้ว
ขอขอบคุณ สำนักงาน คปภ. และบริษัทประกันทั้งสองฝ่าย ที่ได้ช่วยเหลือจนเป็นที่พอใจแล้ว มา ณ ที่นี้
Cr.https://pantip.com/topic/36183896